โควิด เดลต้าสิงคโปร์กระฉูด จ่อหวนมาตรการสกัด สะเทือนแผนอยู่กับไวรัส

โควิด – วันที่ 7 ก.ย. ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ทางการสิงคโปร์เตือนว่าอาจต้องนำมาตรการชะลอการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาปี 2019 หรือโควิด-19 กลับใช้อีกครั้ง หากไม่สามารถหยุดยั้งการระบาดได้ ส่งผลต่อความไม่แน่นอนของยุทธศาสตร์ “อยู่ร่วมกับโควิด” ที่สิงคโปร์เพิ่งเริ่มใช้

คำเตือนดังกล่าวของทางการสิงคโปร์เกิดขึ้นหลังจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารวมกว่า 1,200 คน ส่งผลให้สิงคโปร์มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 68,901 คน ในจำนวนนี้ เสียชีวิตแล้ว 55 ราย

นายลอว์เรนส์ หว่อง หัวหน้าชุดเฉพาะกิจรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลที่สุดสำหรับรัฐบาลไม่ใช่เพียงแต่ปริมาณผู้ติดเชื้อรายวัน แต่รวมถึงอัตราการแพร่ระบาด

นายหว่อง ระบุว่า สิงคโปร์ได้เรียนรู้จากชาติอื่นๆ ว่าหากมีอัตราการระบาดที่เพิ่มขึ้นรวดเร็วแล้วจะนำไปสู่ปัญหาเตียงผู้ป่วยวิกฤต หรือไอซียู ไม่เพียงพอ ส่งผลให้มีความเสี่ยงผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น

สิงคโปร์เคยเป็นชาติที่ใช้ยุทธศาสตร์ “โควิด ซีโร่” หรือการกวาดล้างให้สิ้นซาก นำไปสู่การใช้มาตรการที่มีความเด็ดขาด เช่น การบังคับเว้นระยะห่างทางสังคม ปิดร้านอาหาร และปิดพรมแดน

ทว่า ต่อมาในเดือนก.ค. รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่ โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับโรคโควิด-19 ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรค และคอยจับตาศักยภาพการรับมือของระบบสาธารณสุข มากกว่าการใช้มาตรการที่กระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน

“ข่าวร้าย คือ โควิดอาจจะไม่มีวันหายไปไหน แต่ข่าวดีคือการใช้ชีวิตปกติอยู่ร่วมกับไวรัสตัวนี้นั้นเป็นไปได้ครับ” ทางการสิงคโปร์ เคยระบุไว้เมื่อช่วงเริ่มยุทธศาสตร์ใหม่

รายงานระบุว่า สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีสัดส่วนบุคคลที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สูงที่สุดในโลกถึงกว่าร้อยละ 80 ส่งผลให้สิงคโปร์เริ่มผ่อนปรนมาตรการสกัดกั้นการระบาดตั้งแต่เดือนส.ค. ให้บุคคลที่ได้รับวัคซีนครบแล้วสามารถนั่งรับประทานอาหารในร้านค้า และชุมนุมได้

อย่างไรก็ดี นายหว่อง ระบุว่า การระบาดระลอกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นนั้นทำให้การผ่อนปรนไม่สามารถทำได้มากกว่านี้ โดยทางการสิงคโปร์จพยายามควบคุมการระบาดด้วยการค้นหาเส้นทางการระบาดให้รวดเร็วเพื่อล้อมรั้วปิดกั้นเป็นรายพื้นที่แทน

การบังคับตรวจเชื้อสำหรับคนงานที่มีความเสี่ยงสูงอาจเกิดบ่อยขึ้น เช่น อาจเป็นสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง จากเดิมครั้งละ 2 สัปดาห์ รวมทั้งรายชื่อบุคคลที่มีความเสี่ยงจะถูกขยายเพิ่มไปยังพนักงานตามร้านค้า และพนักงานขนส่งสินค้าด้วย

ทางการสิงคโปร์ยังมีคำสั่งห้ามไม่ให้สถานที่ทำงานจัดประชุม พร้อมขอวิงวอนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงงานสังคมที่ไม่จำเป็นในช่วงนี้ โดยยังมองในแง่ดีว่าจะสามารถควบคุมการระบาดได้ เพราะมีสัดส่วนผู้ได้รับวัคซีนสูง

“แต่หากพวกเราดำเนินการอย่างดีที่สุดแล้วยังไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ ส่งผลให้มีผู้ป่วยไอซียูมากขึ้นรวดเร็ว เราก็อาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการยกระดับมาตรการสกัดกั้นการระบาด ดังนั้นผมยังไม่ตัดหนทางแก้ไขนี้ออกไป” นายหว่อง ระบุ

สถานการณ์ดังกล่าวยังสร้างแรงกระเพื่อมไปยังหลายประเทศในภูมิภาคที่เริ่มหันมาพิจารณาใช้ยุทธศาสตร์เดียวกันกับสิงคโปร์ เช่น ออสเตรเลีย ที่กำลังเผชิญกับการระบาดรุนแรงของเชื้อชนิดกลายพันธุ์เดลต้า โดยเฉพาะในนครซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ และนครเมลเบิร์น รัฐวิกตอเรีย อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์มานานหลายเดือนแล้ว

โดยทางการออสเตรเลียเคยประกาศไว้ว่า จะเปลี่ยนไปใช้ยุทธศาสตร์อยู่ร่วมกันกับโรคโควิดหลังจากประชาชนร้อยละ 70 ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบแล้ว

แต่ล่าสุด ออสเตรเลียยังคงเผชิญกับความล่าช้าของโครงการฉีดวัคซีนจากทั้งปัญหาขาดแคลน และกลุ่มผู้ไม่ยินยอม ทำให้มีผู้ได้รับวัคซีนไปแล้วเพียงร้อยละ 38.4 เท่านั้น ท่ามกลางคำเตือนของนักระบาดวิทยา ว่าการผ่อนปรนมาตรการที่เร็วเกินไปอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน