ตีแผ่เติร์กเมนิสถานมี – วันที่ 27 ก.ย. ซีเอ็นเอ็น เจาะลึกเบื้องหลังของ เติร์กเมนิสถาน ประเทศในเอเชียกลาง และอดีตรัฐบริวารโซเวียตที่มีประชากรเกือบ 6 ล้านคน เป็น 1 ในอย่างน้อย 5 ประเทศทั่วโลกที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 แม้แต่คนเดียว (อีก 4 ประเทศ คือ เกาหลีเหนือ และ 3 ชาติเกาะในแปซิฟิก) ตลอดเกือบ 2 ปีของการระบาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม องค์กรและนักข่าวอิสระ และนักเคลื่อนไหวนอกประเทศ เผยหลักฐานที่ว่าเติร์กเมนิสถานกำลังต่อสู้กับการระบาดระลอกที่สามจนโรงพยาบาลรับมือไม่ไหว และหลายสิบคนต้องตาย และเตือนว่า ผู้นำประเทศกำลังด้อยภัยคุกคามของไวรัสมรณะเพื่อรักษาภาพลักษณ์ตัวเองต่อสาธารณชน

แม้ว่าเมื่อวันอังคารที่ 21 ก.ย. ประธานาธิบดีกูร์บันกูลี เบอร์ดีมูฮาเมดอฟ ผู้นำเติร์กเมนิสถาน ที่มีรัฐบาลเผด็จการจากการปกครองมาตั้งแต่ปี 2549 ปฏิเสธรายงานการพบผู้ป่วยโควิด-19 ในประเทศเป็น “ข่าวปลอม” และกล่าวในการประชุมสมัชชาใหญ่ สหประชาชาติ ว่า การรับมือกับการะบาดใหญ่ไม่ควรเป็น “เรื่องการเมือง”

AFP

นายรุสลัน เมียเทียฟ ผู้ลี้ภัยจากเติร์กเมนิสถานและบรรณาธิการของเว็บไซต์เติร์กเมนิสถานนิวส์ องค์กรข่าวอิสระในเนเธอร์แลนด์ รวบรวมรายชื่อบุคคลกว่า 60 คน ที่เจ้าตัวอ้างเสียชีวิตจากโควิด-19 ภายในประเทศ รวมทั้งครู ศิลปิน และแพทย์

หลังตรวจสอบการเสียชีวิตที่บันทึกทั้งหมดด้วยเวชระเบียนและฟิล์มเอ็กซ์เรย์ที่เผยความเสียหายของปอดอย่างรุนแรง และการรักษาที่มีรูปแบบสอดคล้องกับผู้ป่วยโควิด-19

“แทนที่จะยอมรับและร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศ เติร์กเมนิสถานตัดสินใจเพิกเฉยที่จะคิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น” นายเมียเทียฟกล่าว

 

เรื่องแดงได้อย่างไร

แม้ว่าโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลกเมื่อต้นปี 2563 แต่เติร์กเมนิสถานยืนยันว่าไม่มีผู้ป่วย ทั้งที่ประเทศที่อยู่ติดกันมีรายงานการระบาดอย่างรวดเร็ว เช่น อิหร่าน ซึ่งองค์การอนามัยโลกระบุว่า การระบาดของโควิด-19 รุนแรงสุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยยอดผู้ป่วยทั้งหมดเกือบ 5.5 ล้านราย

น.ส.ราเชล เดนเบอร์ รองผู้อำนวยการยุโรปและเอเชียกลาง องค์การสิทธิมนุษยชน ฮิวแมน ไรต์ วอตช์ กล่าวว่า “คุณลองดูว่าอะไรเกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้บ้าง แล้วเติร์กเมนิสถานจะแตกต่างไปกันอย่างไร”

กระทรวงต่างประเทศอังกฤษ และ ออสเตรเลีย ประกาศระงับเที่ยวบินไปเติร์กเมนิสถานทั้งหมด เฉพาะพลเมืองเติร์กเมนิสถานที่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศตัวเอง

 

นายเมียเทียฟเผยว่า แหล่งข่าวในเติร์กเมนิสถานเริ่มติดต่อมาเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ราวเดือนพ.ค. 2563 ช่วงเดียวกับที่โควิด-19 กำลังระบาดไปทั่วโลก ข้อความแรกที่ได้รับพูดคุยถึงโรคปอดพิสดาร เหมือนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งกระทบคนจำนวนมาก

“อุณหภูมิภายนอกร่างกายอย่างน้อยอยู่ที่ 40 องศาเซลเซียส ไม่ใช่ฤดูไข้หวัดใหญ่ธรรดา”

จากนั้น ในเดือนมิ.ย. 2563 สถานทูตสหรัฐประจำกรุงอัชกาบัต เมืองหลวงเติร์กเมนิสถาน ออกคำเตือนเฝ้าระวังทางสาธารณสุขถึงรายงานพลเมืองท้องถิ่นมีอาการสอดคล้องกับโควิด-19 ระหว่างการตรวจหาเชื้อ และถูกกักตัวนานถึง 14 วัน

แต่รัฐบาลเติร์กเมนิสถานตอบโต้ทันทีว่า “ข่าวปลอม”

 

ถัดมา ในเดือนก.ค. 2563 คณะผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำเติร์กเมนิสถาน ไม่ได้ยืนยันการมีผู้ป่วยโควิด-19 ในประเทศ แต่แสดงความกังวลเกี่ยวกับ “จำนวนผู้ติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันและปอดบวมเพิ่มขึ้น”

เจ้าหน้าที่อนามัยโลกคนหนึ่งกล่าวว่า เติร์กเมนิสถานควรเตรียมความพร้อม ราวกับว่า Covid-19 กำลังแพร่ระบาดจริง แต่นายเมียเทียฟกล่าวว่า เมื่อถึงเวลานั้น สถานการณ์ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว รัฐบาลแนะนำให้ประชาชนใช้มาตรการสาธารณสุขพิสดาร เช่น รับประทานแกงเผ็ดบางชนิด

 

ผ่านมาถึงเดือนม.ค. 2564 เติร์กเมนิสถานประกาศอนุมัติวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยี่ห้อสปุตนิค วี ของรัสเซียเพื่อใช้ในประเทศ จากนั้น ในเดือนมิ.ย. 2564 ธนาคารโลกตกลงที่จะมอบเงินกู้ยืม 20 ล้านดอลลาร์ หรือ 671.4 ล้านบาท แก่รัฐบาลเติร์กเมนิสถาน ส่วนใหญ่ใช้ไปกับสถานพยาบาลและการก่อสร้าง เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ป้องกัน ตรวจพบ และรับมือต่อภัยคุกคามจากโควิด-19”

เมื่อวันอังคารที่ 21 ก.ย. ประธานาธิบดีเบอร์ดีมูฮาเมดอฟกล่าวว่า ความพยายามของประชาคมโลกในการจัดการกับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 “ไม่เพียงพอ” แม้ว่าผู้นำจะไม่ได้กล่าวถึงสถานการณ์ภายในประเทศของตัวเอง

“การระบาดใหญ่เผยถึงความล้มเหลวอย่างร้ายแรงของระบบรับมือต่อความท้าทายในระดับนานาชาติ” ประธานาธิบดีเบอร์ดีมูฮาเมดอฟกล่าว

REUTERS

เติร์กเมนิสถานกำลังลุกเป็นไฟ

ทั้งที่นายเบอร์ดีมูฮาเมดอฟจะอ้างว่า ประเทศปลอดโควิด แต่ตามรายงานของนักข่าวอิสระและนักเคลื่อนไหว ความจริงภายในเติร์กเมนิสถานแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ไดอานา เซเรเบรียนนิค ผู้อำนวยกลุ่มผู้ลี้ภัยในชื่อ “สิทธิและเสรีภาพพลเมืองเติร์กเมนิสถาน” (Rights and Freedoms of Turkmenistan Citizens) ที่มีสำนักงานในยุโรป กล่าวว่า องค์กรทราบจากการติดต่อในประเทศว่า โรงพยาบาลต่างๆ กำลังดิ้นรนเพื่อรับมือกับผู้ป่วยที่ทะลักเข้ามา

คณะแพทย์ชาวเติร์กเมนจากองค์การที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในต่างประเทศ ติดต่อกับอดีตเพื่อนร่วมงานในบ้านเกิด จึงทราบสถานการณ์แท้จริงและให้คำแนะนำ โดยถังออกซิเจนและเครื่องช่วยหายใจหายากในประเทศ การรักษามีราคาแพง และการตายจากโควิด-19 อาจมีหลายพันราย

“เติร์กเมนิสถานกำลังลุกเป็นไฟด้วยติดโควิด บางครั้งไม่รับผู้ป่วยที่โรงพยาบาลด้วยซ้ำ แค่ส่งกลับบ้าน” ไดอานา เซเรเบรียนนิค กล่าว ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตอย่างเป็นทางการไม่ได้ระบุเป็นโควิด-19 หรือแม้แต่โรคปอดบวม แต่ใบรับรองแพทย์บันทึกอาการต่างหาก เช่น หัวใจวาย

ฮิวแมน ไรต์ วอตช์ รายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขพยายามพูดเกี่ยวกับความเป็นจริง แต่ถูกกดดันปิดปากเงียบ เนื่องจากภายในประเทศ ไม่อนุญาตให้สื่อมีเสรีภาพและการตรวจสอบโดยอิสระ อีกทั้ง แม้แต่พลเมืองผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างสันติต้องเผชิญกับบทลงโทษรุนแรง รวมถึง การซ้อมทรมานและการบังคับสูญหาย

เป็นไปตามการจัดอันดับดัชนีเสรีภาพสื่อ (Press Freedom Index) โดยองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders) ประจำปี 2564 ที่เติร์กเมนิสถานรั้งท้ายด้วยอันดับที่ 178 จาก 180 ประเทศและดินแดน ดีกว่าแค่เกาหลีเหนือและเอริเทรีย

 

นอกจากนี้ ชาวต่างชาติได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลเติร์กเมนิสถานปฏิเสธการมีโควิด-19 ในประเทศ รายงานของนิตยสาร กิจการเอเชีย (Asian Affairs) ระบุว่า เมื่อเดือนก.ค. 2563 นายเคมัล อุชคุน นักการทูตตุรกี เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงอาชกาบัตด้วยอาการคล้ายโควิด แต่ถูกปฏิเสธการอพยพกลับบ้านเกิด

บีบีซี รายงานด้วยว่า ภริยาของนักการทูตฟิล์มเอ็กซ์เรย์ไปโรงพยาบาลหลายแห่งในตุรกี และได้รับการยืนยันว่า นักการทูตป่วยโควิด-19 ก่อนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตอย่างเป็นทางการคือ ภาวะหัวใจล้มเหลว

อีกกรณีคือครูสอนภาษาและวรรณคดีรัสเซีย อายุ 61 ปี เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตั้งแต่เดือนส.ค. ตามรายงานของเว็บไซต์ เติร์กเมนิสถานนิวส์ ล่าสุด นายเมียเทียฟยืนยันว่า ครูคนนี้เสียชีวิตด้วยโควิด-19

 

ทำไมเติร์กเมนิสถานจึงยืนกรานยังไม่ผู้ติดเชื้อแม้แต่คนเดียว

ทั้งนายเมียเทียฟ และน.ส.เซเรเบรียนนิค กล่าวว่า ประธานาธิบดีเบอร์ดีมูฮาเมดอฟ ซึ่งเป็นทันตแพทย์อาชีพ และอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุข ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการปกครองอย่างมีประสิทธิภาพด้วยความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน อย่างน้อยๆ เป็นในหลักการดังกล่าว

นอกจากนี้ น.ส.เซเรเบรียนนิคเผยว่า ผู้นำประเทศวัย 64 ปี ต้องการปรากฏตัวเป็นผู้กอบกู้ประเทศและเป็นผู้นำระดับโลกน่าประทับใจในการป้องกันโควิด-19 แต่สุดท้าย รัฐบาลเติร์กเมนิสถานจะต้องยอมรับความจริงที่ว่าประเทศมีผู้ป่วยโควิด-19 เนื่องจาก “คนตายมากเกินไปแล้ว”

ขณะที่นายเมียเทียฟเสริมว่า หากยอมรับว่าโควิด-19 มีในประเทศจริงๆ จะบ่อนทำลายภาพลักษณ์ในอุดมคติที่ผู้นำสร้างขึ้นมา และปล่อยให้การวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำประเทศเปิดกว้างในที่สุด “เป็นความล้มเหลวของใครบางคน ใครจะต้องรับผิดชอบ และใครจะมีคำตอบสุดท้ายล่ะ คือประธานาธิบดีเอง” นายเมียเทียฟกล่าว

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

โควิด-19 : ประสบการณ์ติดโควิดในเติร์กเมนิสถาน ประเทศที่บอกว่าไม่มีผู้ติดเชื้ออยู่เลย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน