เอเวอร์แกรนด์ – วันที่ 29 ก.ย. บีบีซี รายงานว่า ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ บริษัทอสังหาริมาทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีน ระบุว่า มีแผนขายหุ้น 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 20% ของหุ้นทั้งหมดที่บริษัทเป็นเจ้าของ ในธนาคารเชิ้งจิง ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นของรัฐบาลจีน ซึ่งจะซื้อคืนจำนวนหุ้นดังกล่าว
อันเป็นความพยายามระดมเงินของเอเวอร์แกรนด์เพื่อนำมาชำระหนี้ที่เป็นดอกเบี้ยพันธบัตรต่างประเทศแก่ลูกค้า นักลงทุน และซัพพลายเออร์ มูลค่าสุทธิ 47.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,600 ล้านบาท ตามเส้นตายวันนี้ หรือ 29 ก.ย.
หลังเอเวอร์แกรนด์ผิดนัดชำระหนี้ที่เป็นดอกเบี้ยพันธบัตรต่างประเทศอีกอันหนึ่ง มูลค่าสุทธิ 83.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,800 ล้านบาท เมื่อสัปดาห์ก่อนไปแล้ว แม้จะทำข้อตกลงกับนักลงทุนภายในประเทศในการชำระเงิน 35.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,213 ล้านบาท ซึ่งถึงกำหนดแล้วเช่นกัน
ภายใต้ข้อตกลงที่ประกาศต่อตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง รายได้จากการขายหุ้นจะนำมาใช้ชำระหนี้สินทางการเงินของเอเวอร์แกรนด์จากธนาคารเชิ้งจิง เท่ากับว่า เอเวอร์แกรนด์จะไม่สามารถจะนำเงินดังกล่าวที่ระดมมาจากการขายหุ้นไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นได้ รวมถึงการชำระดอกเบี้ยแก่พันธบัตรต่างประเทศตามเส้นตายวันนี้ได้ เป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิดโดยนักลงทุนที่พยายามข้อมูลของบริษัทถึงความสามารถในการปฏิบัติตามภาระผูกพันทางการเงินของบริษัท
ขณะที่หุ้นเอเวอร์แกรนด์มีการซื้อขายเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงช่วงบ่ายของวันนี้ ส่วนหุ้นของธนาคารเชิ้งจิงไม่มีการซื้อขายในที่สาธารณะ
ความเคลื่อนไหวล่าสุดดังกล่าวมีขึ้นหลังมีรายงานว่า รัฐบาลจีนสนับสนุนให้บริษัทที่เป็นของรัฐ และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ซื้อทรัพย์สินจากเอเวอร์แกรนด์ เพื่อช่วยระดมเงินที่จำเป็นเพื่อเป็นไปตามภาระผูกพันทางการเงินของบริษัท
วิกฤตดังกล่าวที่ถาโถมเอเวอร์แกรนด์ บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมาทรัพย์ที่มีหนี้สิ้นมากที่สุดในโลก ทำให้ตลาดโลกผันผวนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากเอเวอร์แกรนด์พยายามระดมเงินทุนเพื่อชำระหนี้มากกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 10 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้ว เอเวอร์แกรนด์สูญเสียมูลค่าตลาดหุ้นของบริษัทไปราว 80%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: