ซูจีวอนศาลลดไต่สวนถี่ – วันที่ 4 ต.ค. เดอะการ์เดียน รายงานว่า นางออง ซาน ซู จี อายุ 76 ปี ผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยในประเทศเมียนมา (พม่า) ขอให้ศาลพิจารณากำหนดเวลาการไต่สวนคดีเป็น 2 สัปดาห์ต่อครั้ง เนื่องจากสุขภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยจากอายุที่มากขึ้น
เรื่องดังกล่าวได้รับการเปิดเผยจากแถลงการณ์ของนายขิ่น เมียง ซอ ทนายความของนางซูจี ซึ่งรับผิดชอบต่อสู้ข้อหาจำนวนมากตั้งแต่คอร์รัปชั่นไปจนถึงมีวิทยุสื่อสารโดยไม่มีใบอนุญาต ถูกตั้งขึ้นหลังกองทัพพม่าก่อเหตุยึดอำนาจตั้งแต่ 1 ก.พ.
ความเคลื่อนไหวของนางซูจีเกิดขึ้นหลังนางซูจีไม่สามารถเดินทางมาเข้ารับการไต่สวนที่ศาลกรุงเนปิดอว์ได้เมื่อเดือนก.ย. เนื่องจากมีอาการมึนศีรษะจากเมารถ อย่างไรก็ตาม นายขิ่น ยืนยันว่า นางซูจีไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรง เพียงแต่มีอาการอ่อนเพลียเหนื่อยล้าเท่านั้น
นายขิ่น ระบุว่า อาการเหนื่อยล้าของนางซูจีเกิดขึ้นหลังจากต้องเดินทางมารับฟังการไต่สวนของศาลทุกวันตลอดทั้งสัปดาห์ นำมาสู่คำขอให้ศาลพิจารณาเปลี่ยนเป็นทุกๆ 2 สัปดาห์แทน โดยศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดในสัปดาห์หน้า
รายงานระบุว่า การไต่สวนคดีของนางซูจีเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์มิคสัญญีทางการเมืองหลังการรัฐประหารของกองทัพเมียนมานำไปสู่การสู้รบ ระบบสาธารณสุขที่ล่มสลาย ระบบการเงินเป็นอัมพาต และระบบการศึกษาไม่สามารถทำงานได้ ขณะที่การสู้รบก็แผ่ขยายไปยังพื้นที่อื่นอีก
ข้อมูลจากมูลนิธิ Save the Children บ่งชี้ว่า มีชาวพม่าอย่างน้อย 206,000 คน ต้องอพยพหนีตายจากการสู้รบ ในจำนวนนี้ เป็นเด็กกว่า 76,000 คน ส่วนใหญ่ไม่มีอาหารเพียงพอ และต้องอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้ตามป่าเขา
สอดคล้องกับข้อมูลของสหประชาชาติ หรือยูเอ็น ที่ระบุว่า มีชาวพม่าถึง 22,000 คน ต้องอพยพหนีการสู้รบเมื่อเดือนก.ย. และมีผู้อพยพไร้ที่พักอาศัยกว่า 8 หมื่นคน เฉพาะในรัฐกะยา ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่สถานการณ์รุนแรงที่สุด
แถลงการณ์ Save the Children ระบุว่า “ครอบครัวผู้อพยพต้องมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีทรัพย์สินใดๆ แม้แต่อาหารประทังชีวิตมื้อเดียวต่อวันก็ต้องแบ่งกันรับประทาน 6-7 คน เด็กๆ กำลังเผชิญกับความหิวโหย และอีกไม่นานอาจเสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บ และภาวะทุพโภชนาการ”
ทั้งนี้ ยูเอ็นคาดว่า มีชาวพม่าประมาณ 3 ล้านคน ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม จากเดิม 1 ล้านคน ในช่วงก่อนเกิดรัฐประหาร ขณะที่ Save the Children ระบุว่า ความช่วยเหลือจากหน่วยงานสากลนั้นเข้าถึงน้อยมาก และผู้อพยพต้องอาศัยความช่วยเหลือจากชาวบ้าน
นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการยูเอ็น กล่าวเตือนไว้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าหน่วยงานสากลที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้อพยพนั้นต้องเผชิญกับการถูกข่มขู่จากกำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ และปัญหาขั้นตอนเอกสารที่ยุ่งยากโดยไม่จำเป็น
“เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่เจ้าหน้าที่ผู้ให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจะต้องได้รับความปลอดภัยและความสะดวกในการปฏิบัติภารกิจเพื่อช่วยชีวิตผู้คน” และเตือนอีกว่า “พม่ากำลังเผชิญกับความเสี่ยงต่อการกลายสภาพเป็นสงครามกลางเมืองขนาดใหญ่” กูเตร์เรส ระบุ