เป็นความจริงที่สุดช็อกไม่น้อย หลังจากที่เจ้าหน้าที่และผู้ป่วยในโรงพยาบาลญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง เพิ่งทราบว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา น้ำที่พวกเขาใช้ดื่ม หรือบ้วนปากนั้นมีการต่อท่อที่ผิดพลาด โดยน้ำเหล่าควรจะเป็นน้ำที่ใช้ใน ‘ห้องส้วม’ ไม่ใช้สำหรับการบริโภค
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ladbible ได้รายงานอ้างอิงเว็บข่าวโนมิอุริ ชิมบุนระบุว่าเมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยโอซาก้า ได้ออกมายืนยันว่าท่อน้ำบางส่วนถูกเชื่อมต่ออย่างไม่ถูกต้อง ด้วยการนำท่อน้ำดื่มมาเชื่อมต่อกับห้องน้ำ มีก๊อกน้ำที่ได้รับผลกระทบถึง 120 จุด
เพราะแทนที่จะวางระบบน้ำสะอาดที่ผ่านการบำบัดต่อเข้าท่อน้ำสำหรับบริโภค ผู้รับเหมากลับสลับต่อท่อน้ำบาดาลที่มีการบำบัดอย่างง่าย ๆ สำหรับน้ำเพื่อใช้ชำระในห้องสุขาแทนมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยปัญหานี้มีมานานกว่า 28 ปี นับตั้งแต่ปี 2536 ที่โรงพยาบาลได้เปิดให้บริการเป็นครั้งแรก
ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ บุคลากร หรือผู้ป่วย ต่างก็ได้ดื่มน้ำสำหรับห้องส้วมมาเนิ่นนานโดยไม่มีใครรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งโรงพยาบาลได้เตรียมที่จะสร้างอาคารสำหรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาเพิ่ม ความลับดังกล่าวจึงถูกเปิดเผยขึ้นมา
อย่างไรก็ตามรายงานได้ระบุว่าที่ผ่านมานั้นทางมหาวิทยาลัยมักจะมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง ทั้งสี รสชาติ และกลิ่น สัปดาห์ละครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่พบปัญหาใด ๆ มาตั้งแต่ปี 2557 ในขณะที่ทางมหาวิทยาลัยโอซาก้ายืนยันว่า ไม่พบอันตรายต่อสุขภาพตลอดการสอบสวน
ด้าน คาซูฮิโกะ นากาทานิ ผู้อำนวยการและรองประธานของมหาวิทยาลัยโอซาก้า ได้โค้งคำนับและกล่าวขออภัยในกรณีนี้ระหว่างการแถลงข่าวว่า “ผมมีความรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย ที่ให้บริการการรักษาพยาบาลระดับสูงนั้นทำให้เกิดความกังวลโดยไม่จำเป็น แม้ว่าจะมีการตรวจคุณภาพน้ำสัปดาห์ละครั้ง แต่ผมก็ไม่อาจจะพูดได้เต็มปากว่าจะส่งผลต่อสุขภาพหรือไม่”
และยังมีการเผยเพิ่มเติมว่า อาคารทั้ง 105 แห่งภายในวิทยาเขต มีวางระบบท่อน้ำบาดาลเข้ากับก๊อกน้ำที่ใช้บริโภคด้วยเช่นกัน ซึ่งในขณะนี้ทางมหาวิทยาลัยกำลังทำการตรวจสอบระบบท่อประปาทั่วทั้งวิทยาเขตอย่างละเอียด
เรื่องราวดังกล่าวกลายเป็นประเด็นที่ร้อนแรงในประเทศญี่ปุ่น ชาวเน็ตจำนวนมากต่างแสดงความคิดเห็นอย่างล้นหลาม พร้อมทั้งกล่าวว่านี่ไม่ใช่ความผิดของโรงพยาบาล และคนที่ทำงานก่อสร้างโรงพยาบาลควรรับผิดชอบเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้
ที่มา : ladbible / 9gag / medicaltrend / yomiuri