ล้มล้างผลการเลือกตั้ง! ทรัมป์เจอข้อหาหนัก-สะเทือนรากฐานการปกครอง

ล้มล้างผลการเลือกตั้ง! – วันที่ 2 ส.ค. เอเอฟพีรายงานว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกาหนึ่งสมัย อายุ 77 ปี ถูกตั้งข้อหาวางแผนล้มล้างผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี 2563 ถือเป็นข้อหาที่ร้ายแรงที่สุดในบรรดาคดีทั้งหมดที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเผชิญอยู่

รายงานระบุว่า อีก 2 คดี ได้แก่ ขัดขวางและสมคบคิดนั้นหากมีความผิดจริงจะมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี โดยการแจ้งข้อหาดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ระหว่างเดินหน้าแคมเปญหาเสียงสนับสนุนตนเป็นแคนดิเดตพรรครีพับลิกัน

เพื่อท้าชิงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในปีหน้า ซึ่งจะเป็นการชิงเก้าอี้ผู้นำกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ จากพรรคเดโมเครติก หรือเดโมแครต ที่จะลงชิงเก้าอี้สมัยที่ 2

คดีความที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ต้องเผชิญยังเกิดขึ้นในช่วงที่ประเด็นการเมืองกำลังเป็นเรื่องแหลมคมในสหรัฐฯ โดยผู้เชี่ยวชาญคาดว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในปีหน้านั้นจะเต็มไปด้วยบรรยากาศของความแตกแยกและความขื่นขมต่อกันจนถึงขีดสุดระหว่างกองเชียร์ของสองพรรคการเมืองอเมริกา

นายแจ็ก สมิธ อัยการพิเศษ ผู้แจ้งข้อหาทรัมป์ กล่าวหาว่านายทรัมป์สมรู้ร่วมคิดในขบวนการฉ้อโกงต่อทางการสหรัฐฯ และสกัดขัดขวางการทำงานของหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะกรณีที่กลุ่มผู้สนับสนุนบุกรุกรัฐสภาคองเกรส กรุงวอชิงตัน

ระหว่างการรับรองผลการเลือกตั้งที่ประธานาธิบดีไบเดนได้ชัยชนะ เมื่อ 6 ม.ค. 2564 ที่สื่ออเมริกันบางสำนักขนานนามให้เป็นวันแห่งความอัปยศที่สุดของระบอบประชาธิปไตยในอเมริกา

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังพยายามด้อยค่าเสียงของชาวอเมริกาผู้มีสิทธิเลือกตั้งด้วยการสร้างข้อมูลอันเป็นเท็จ ว่าตนเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งดังกล่าว และว่าตนถูกโกง

นายสมิธ ระบุว่า การบุกโจมตีสภาคองเกรสที่เกิดขึ้นถือเป็นการโจมตีต่อรากเหง้าระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง

และว่า “ต้นเหตุมาจากคำโกหกหลอกลวง คำหลอกลวงของจำเลยที่ต้องการขัดขวางฐานรากของระบอบการปกครองแห่งสหรัฐ คือ กระบวนการรวบรวมเสียงประชาชน กระบวนการนับคะแนน และการรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี” สมิธ ระบุ

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังวางแผนให้อดีตรองประธานาธิบดีไมก์ เพนซ์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งในสภาคองเกรสในตอนเกิดเหตุ ใช้อำนาจไม่รับรองผลการเลือกตั้งจากบางรัฐด้วย

แต่อดีตรองประธานาธิบดีเพนซ์ปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าไม่อยู่ในอำนาจของตนที่จะกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐฯ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน