ไบเดนลั่น “ฮามาส-ปูติน” – เอเอฟพี และ บีบีซี รายงานวันที่ 20 ต.ค. ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา แถลงต่อสาธารณชนจากห้องทำงานรูปไข่ ทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 ต.ค. ตามเวลาท้องถิ่น หลังกลับจากทริปเยือน อิสราเอล เพื่อแสดงการสนับสนุนรัฐบาลอิสราเอลในการตอบสนองการโจมตีของ กองกำลังฮามาส
โดยตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. ยอดผู้เสียชีวิตรวมเพิ่มเป็นกว่า 5,185 ราย ในจำนวนนี้ราว 1,400 รายเป็นเหยื่อในอิสราเอล และอย่างน้อย 3,785 รายเป็นชาวปาเลสไตน์
ส่วนเหตุโจมตีโรงพยาบาลในเมืองกาซ่าซิตีนั้นข้อมูลข่าวกรองสหรัฐระบุว่ามีผู้เสียชีวิตระหว่าง 100-300 ราย ต่ำกว่าตัวเลขที่กระทรวงสาธารณสุขภายใต้กองกำลังฮามาสเปิดเผยก่อนหน้านี้ที่ 471 ราย
นายไบเดนกล่าวถึงกรณีในอิสราเอลและยูเครนซึ่งรัฐบาลสหรัฐพยายามให้ความช่วยเหลือ โดยระบุว่ากองกำลังฮามาสและรัสเซียต่าง “ทำลายล้าง” ระบอบประชาธิปไตย
ฮามาสและ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำแห่งรัสเซีย “เป็นตัวแทนของภัยคุกคามที่แตกต่างกัน แต่พวกเขามีเรื่องที่เหมือนกันนั่นคือทั้งสองฝ่ายต้องการทำลายล้างระบอบประชาธิปไตยของเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงให้สิ้นซากโดยสิ้นเชิง”
สุนทรพจน์ครั้งที่สองจากห้องทำงานรูปไข่ของนายไบเดนเป็นความพยายามซื้อใจผู้มีสิทธิ์ออกเสียงก่อนศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2567 และเตรียมผลักดันสภาคองเกรสให้ลงมติผ่านงบประมาณก้อนใหญ่มูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3.6 ล้านล้านบาท
รวมถึงเงินทุนสำหรับอิสราเอลในการทำสงครามต่อต้านกองกำลังฮามาส และเงินช่วยเหลือทางการทหารแก่ยูเครนเพื่อต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย
การเชื่อมโยงสองเหตุการณ์เข้าด้วยกันเป็นความพยายามของนายไบเดนที่จะตีกรอบความขัดแย้งเหล่านี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ที่ใหญ่กว่าเพื่อกำหนดกฎระเบียบโลกและปกป้องประชาชนชาวอเมริกันในประเทศ
นายไบเดนกล่าวด้วยว่าจะขอให้สภาคองเกรสเห็นชอบกับงบด้านความมั่นคงแก่อิสราเอลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สื่อสหรัฐรายงานว่างบดังกล่าวจะรวมเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน 346,000 ล้านบาทสำหรับอิสราเอล และราว 2.1 ล้านล้านบาทแก่ยูเครน
ก่อนที่นายไบเดนจะกล่าวสุนทรพจน์ได้ต่อสายตรงคุยกับ ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน โดยนายเซเลนสกีกล่าวขอบคุณระบบขีปนาวุธทางยุทธวิธีพิสัยไกล (ATACMS) ที่สหรัฐส่งให้ก่อนหน้านี้ และได้ใช้ถล่มเขตยึดครองของรัสเซียเป็นครั้งแรกจนสนามบิน 2 แห่งใกล้แคว้นลูฮันสก์เสียหายอย่างหนักเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: