วันที่ 12 มี.ค. เอเอฟพีรายงานถึงการเปิดเผยของแอมเนสตี อินเตอร์เนชั่นแนล องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ว่า ทางการเมียนมากำลังติดตั้งจุดตรวจด้านความปลอดภัยทับบนหมู่บ้านโรฮิงยาที่ถูกเผาในรัฐยะไข่ หลังชาวบ้าน 700,000 คนอพยพหนีตายจากรัฐยะไข่ ทางตอนเหนือของพม่าไปประเทศบังกลาเทศ
แต่นายซอว์ ฮเตย์ โฆษกรัฐบาลเมียนมา ปฏิเสธรายงานนี้ อ้างว่ารัฐบาลไม่ได้กำลังสร้างฐานทัพทหารในพื้นที่ที่ชาวบ้านใช้อยู่อาศัย แต่สร้างสถานีตำรวจเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนสร้างหมู่บ้านอย่างเป็นระบบ รวมถึงใช้รถแทรกเตอร์จัดการที่ดินที่ถูกเผาด้วย
รายงานของแอมเนสตีชื่อ “การสร้างรัฐยะไข่ขึ้นใหม่” เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์และภาพถ่ายดาวเทียม พบว่า โครงสร้างพื้นฐาน สิ่งปลูกสร้างทางทหารในรัฐยะไข่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วรวมถึงการก่อสร้างอื่นๆ ตั้งแต่เริ่มปี 2561 เป็นต้นมา เทียบเท่ากับการฉวยยึดที่ดิน
“จากหลักฐานใหม่และการสร้างสิ่งต่างๆใหม่ แสดงว่าเจ้าหน้าที่เมียนมากำลังสร้างทับสถานที่ต่างๆ ที่ชาวโรฮิงยาจำเป็นต้องกลับไปใช้” ตีรานา ฮัสซัน ผอ.ฝ่ายตอบสนองวิกฤตของแอมเนสตี้กล่าว
ฮัสซันยังยกตัวอย่างมีการทำลายบ้าน และสร้างสิ่งก่อสร้างสำหรับเจ้าหน้าที่ความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ลานขึ้นลงของเฮลิคอปเตอร์แทนที่ และแม้กระทั่งถนนถูกสร้างในพื้นที่ที่เป็นทรัพย์สินและรอบๆทรัพย์สมบัติของโรฮิงยาที่ถูกเผาไหม้
นอกจากนี้พบว่า เมื่อต้นเดือนมี.ค.ที่หมู่บ้านกานจา เมืองหม่องดอว์ที่ถูกไฟไหม้ เห็นสิ่งก่อสร้างในที่ดินที่ปรับปรุงใหม่ เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของฐานใหม่ของทหาร เช่นเดียวกับในหมู่บ้านอินดิน สถานที่ที่เมียนมายอมรับว่าเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ความมั่นคงมีส่วนในการสังหารชาวโรฮิงยา 10 ราย เมื่อเดือนก.ย.ปี 2560
ส่วนที่ดินชาวโรฮิงยาที่ถูกทิ้ง น่าวิตกว่าจะผันไปให้ชาวพุทธยะไข่ และรวมถึงกลุ่มอื่นๆที่ไม่ใช่มุสลิม และการเข้าไปเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ของทางการเมียนมาจะลบหลักฐานความโหดร้ายจากฝีมือทหาร