ผู้แปรพักตร์เผยเอง!สเตรตส์ไทมส์ รายงานเรื่องราวชวนช็อกของ เกาหลีเหนือ ที่ลงโทษขั้นรุนแรงกับประชาชนที่เผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะเป็น เพลงเคป๊อป หรือละครซีรีส์ เคดราม่า ด้วยการประหารชีวิตตามกฎหมายฉบับปี 2563 เพื่อป้องกันไม่ให้เสพสื่อจากชาติคู่อริ

กระทรวงรวมชาติของเกาหลีใต้เปิดเผยเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ว่าผู้แปรพักตร์ชาวเกาหลีเหนือหลายคนให้ข้อมูลว่าภายใต้ระบอบการปกครองของนายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ มีการประหารชีวิตคนที่ถูกจับได้ว่าจำหน่ายหรือแจกจ่ายซีรีส์ ภาพยนตร์ หรือเพลงเคป็อปของเกาหลีใต้ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายรุนแรง

North Korea’s leader Kim Jong Un attends a state reception with Russia’s President Vladimir Putin in Pyongyang, North Korea June 19, 2024. Sputnik/Vladimir Smirnov/Pool via REUTERS ATTENTION EDITORS – THIS IMAGE WAS PROVIDED BY A THIRD PARTY.

กระทรวงรวมชาติเกาหลีใต้เผยแพร่รายงานสิทธิมนุษยชนในเกาหลีเหนือว่าจากคำให้การของผู้แปรพักตร์ทำให้ทราบว่าเกาหลีเหนือดำเนินการประหารชีวิตในที่สาธารณะจากข้อหาละเมิด “กฎหมายไม่ปฏิบัติตามอุดมการณ์และวัฒนธรรม”

กฎหมายดังกล่าวบัญญัติว่าห้ามผู้ใดเข้าถึง ครอบครอง หรือแจกจ่ายข้อมูลข่าวสารจากประเทศศัตรู ครอบคลุมถึงเกาหลีใต้ พร้อมระบุโทษว่าผู้ที่ละเมิดกฎหมายอาจถูกประหารชีวิต

หนึ่งในผู้แปรพักตร์กล่าวว่าเคยเห็นชาวสวนวัย 22 ปีในจังหวัดฮวางแฮใต้ถูกประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชนเมื่อปี 2565 โดยมีบุคคลหนึ่งซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นผู้พิพากษาศาลประกาศว่าผู้กระทำผิดถูกจับกุมเพราะฟังเพลงเคป๊อป 70 เพลงและดูภาพยนตร์ 3 เรื่องของอันธพาลหุ่นเชิดซึ่งหมายถึงเกาหลีใต้

จากการสอบสวนพบว่าชายคนดังกล่าวเผยแพร่สื่อเกาหลีใต้ให้คนอื่นอีก 7 คน แต่คนแรกที่นำสื่อมาจะต้องได้รับโทษรุนแรงที่สุดซึ่งมักจะถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า ส่วนคนที่เผยแพร่ต่อจะได้รับโทษตามพฤติการณ์ที่มีส่วนร่วมกระทำผิด

ผู้แปรพักตร์เผยเอง! – ภาพประกอบ – Sometimes, TVs would be powered by car batteries. Testimonies from North Korean defectors have revealed that the Kim Jong-un regime has conducted public executions of individuals caught distributing South Korean TV series, movies or K-pop music under a 2020 law, South Korea’s Unification Ministry said. BBC

ผู้แปรพักตร์ย้ำว่ามีการประหารชีวิตต่อหน้าประชาชนหลายครั้งเมื่อไม่นานมานี้ และเป็นคดีภายใต้กฎหมายดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้ยินมาว่าคนที่ทำผิดกฎหมายนี้และผู้กระทำผิดกฎหมายอาญาข้อหาหนักอื่นๆ เช่น ฆาตกรรม ก็ถูกประหารชีวิตในที่สาธารณะพร้อมๆ กันเมื่อปีที่แล้ว

ส่วนผู้แปรพักตร์ที่ไม่เปิดเผยชื่ออีกคนหนึ่งกล่าวว่าเลิกดูสื่อจากนอกประเทศเพราะกลัวถูกลงโทษ หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ในปี 2563 และเห็นกับตาว่ามีคนถูกลงโทษจริงๆ ซึ่งดูเหมือนว่าตั้งแต่นายคิม จองอึน ขึ้นสู่อำนาจก็กวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ชอบให้สิ้นซากซึ่งตนคิดว่าการใช้กฎหมายนี้ไม่สมเหตุสมผล

ผู้แปรพักตร์รายที่ 3 ระบุว่าตนถูกสั่งให้เขียนกฎหมายมาตราดังกล่าวแล้วติดไว้ที่ประตูบ้าน เนื้อหาที่เขียนมีบทลงโทษสูงสุดคือ การประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า หากดูหรือเผยแพร่เนื้อหาวิดีโอของเกาหลีใต้

กระทรวงการรวมชาติยังกล่าวอีกว่าคำให้การทำให้ทราบว่าเกาหลีเหนือบังคับใช้กฎหมายควบคุมเยาวชนด้วย โดยออกกฎหมายการประกันการศึกษาเยาวชนปี 2564 และกฎหมายคุ้มครองภาษาวัฒนธรรมเปียงยางปี 2565 หัวใจสำคัญคือ เกาหลีหนือสั่งห้ามไม่ให้ประชาชนเปิดรับอิทธิพลทางวัฒนธรรมใดๆ ที่มีต้นกำเนิดมาจากเกาหลีใต้อย่างเด็ดขาด

ผู้แปรพักตร์เผยเอง! – ภาพประกอบ – Though illegal, many in the North watch South Korean programmes. According to the 2024 North Korean Human Rights Report released by the ministry in Seoul, testimonies suggested an “increase in public executions based on violations of the Law on Rejecting Reactionary Ideology and Culture”. The law prohibits accessing, possessing or distributing external information from “hostile countries”, including South Korea, and stipulates that violations could result in the death penalty. BBC

ขณะที่ผู้แปรพักตร์คนที่ 4 กล่าวว่าเคยดูวิดีโอซึ่งผู้บรรยายกล่าวว่าเจ้าบ่าวที่อุ้มเจ้าสาวในชุดวิวาห์สีขาวเป็น “สไตล์หุ่นเชิด” ซึ่งหมายถึงเกาหลีใต้ ส่วนผู้หญิงสวมเครื่องประดับ เช่น ต่างหูและสร้อยข้อมือ ชุดสีขาว แว่นตากันแดดและดื่มแอลกอฮอล์จากแก้วไวน์ล้วนแต่เป็นสไตล์หุ่นเชิดเช่นกัน

คำให้การของผู้แปรพักต์คนแรกยังเปิดเผยด้วยว่าระหว่างปี 2564-2566 ประชาชนถูกสุ่มให้หยุดตรวจตามท้องถนน กลุ่มเป้าหมายแรกเป็นเยาวชน หากแต่งตัวต่างจากคนทั่วไปหรือโดดเด่นเกินมาตรฐานของชาวเกาหลีเหนือก็จะต้องถูกค้นตัว

ขณะที่คำให้การอื่นๆ กล่าวว่าผู้ตรวจของเกาหลีเหนือตรวจสอบรายชื่อคนติดต่อในโทรศัพท์มือถืออย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าบันทึกรายชื่อผู้ติดต่อถูกต้องตามวิถีเกาหลีเหนือมากกว่าเรียกตามแบบเกาหลีใต้

สำหรับผู้แปรพักตร์คนที่ 5 กล่าวว่าเมื่อปี 2563 พ่อแม่ต้องลงนามในสัญญารับรองว่าจะดูแลบุตรหลานไม่ให้ดูเนื้อหาไม่บริสุทธิ์อยู่ที่บ้านซึ่งเจ้าหน้าที่อ้างว่าเพื่อป้องกันไม่ให้อุดมการณ์เสื่อมถอยลง แต่เหตุผลจริง ๆ คือ ปราบปรามไม่ให้ประชาชนเสพสื่อจากต่างประเทศเพราะจะทำให้เจ้าหน้าที่ยุ่งยาก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน