เขย่าขวัญ จับชายเคนยา ‘ฆาตกรต่อเนื่อง’ ฆ่าโหดแยกชิ้นส่วนสาว 42 ศพ หมกกองขยะสลัม ภรรยาก็ไม่รอด
สำนักข่าวต่างประเทศ บีบีซี รายงานคดีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในเคนยา กรณีตำรวจเคนยาจับกุม ผู้ต้องสงสัยชายรายหนึ่ง ซึ่งพวกเขาระบุว่าเป็น ฆาตกรต่อเนื่อง สารภาพฆ่าหั่นศพผู้หญิงไปกว่า 42 ศพ หลังพบชิ้นส่วนหญิง 9 รายหมกกองขยะร้างเมื่อสัปดาห์ก่อน จนสร้างความหวาดกลัวไปทั่วประเทศ
ตามรายงานของทางเจ้าหน้าที่เผยว่า ชายผู้ต้องสงสัยเป็นฆาตรต่อเนื่อง ชื่อ คอลลินส์ โจไมซี คาลูชา วัย 33 ปี ถูกตำรวจจับกุมที่บาร์แห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ขณะเขากำลังชมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2024 ในข้อหาฆาตกรรม หลังเจ้าหน้าที่พบชิ้นส่วนศพหญิง 9 รายในบ่อขยะ ที่เมืองหลวงกรุงไนโรบี
ภาพประกอบ
โดยคนร้ายสารภาพว่า เขาได้ล่อลวง สังหาร และกำจัดศพผู้หญิงมาแล้วกว่า 42 ศพ ตั้งแต่ปี 2565 รวมถึงภรรยาของตัวเขาเองด้วย จากนั้นเขาได้ทิ้งชิ้นส่วนศพที่บ่อขยะดังกล่าว
ภายหลังการจับกุม ทางผู้ต้องสงสัยได้พาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยังที่บ้านของเขา ซึ่งห่างจากที่เกิดเหตุ หรือจุดทิ้งศพประมาณ 100 เมตร ตำรวจได้ยึดหลักฐานได้หลายชิ้น ได้แก่ โทรศัพท์ 10 เครื่อง แล็ปท็อป บัตรประจำตัว และเสื้อผ้าส่วนตัวของผู้หญิง
ภาพประกอบ
นอกจากนี้ ตำรวจยังพบมีดพร้า ที่พวกเขาเชื่อว่า จะเป็นอาวุธที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ ชำแหละเหยื่อ พร้อมทั้งพบกระสอบอีก 9 ใบ ลักษณะคล้ายที่บรรจุชิ้นส่วนเหยื่อ
อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ได้ปิดกั้นบ่อขยะดังกล่าว หลังพบชิ้นส่วนศพในสภาพเน่าเปื่อย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ระบุว่า ศพที่พบเป็นผู้หญิงมีอายุระหว่าง 18-30 ปี คาดว่าถูกฆ่าด้วยวิธีเดียวกันทั้งหมด
แม้ว่าทางการจะยืนยันพบศพทั้งสิ้น 9 ศพ แต่ชาวบ้านละแวกนั้นกลับบอกว่า จำนวนศพอาจมีมากกว่านี้ โดยหนึ่งในผู้เก็บกู้ศพ เผยว่า เขานับได้ถึง 16 ศพ ซึ่งทุกรายถูกหั่นเป็นชิ้นๆ
ภาพประกอบ
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่า พวกเขายังคงสอบสวนคนร้ายถึงมูลเหตุแรงจูงใจในการก่อเหตุฆาตกรรมสุดเหี้ยมนี้ และกำลังดำเนินการชันสูตรพลิกศพ เพื่อยืนยันตัวผู้เสียชีวิต โดยคนร้ายมีกำหนดขึ้นศาลเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในวันอังคารนี้
ทางเจ้าหน้าที่ กล่าวว่า การจับกุมตัวชายรายนี้ เกิดขึ้นหลังจากการวิเคราะห์โทรศัพท์ของเหยื่อสาวรายหนึ่ง ภายหลังทราบชื่อ โจเซฟิน มูลองโก โอวิโน ซึ่งพบว่ามีการทำธุรกรรมการเงินในวันที่เธอหายตัวไป
ขณะที่ สังคมตั้งคำถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า มีคนถูกฆ่ามากถึง 42 คนในช่วงระยะเวลา 2 ปี แต่ทำไมทางเจ้าหน้าที่กลับไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นได้อย่างไร
