วันที่ 18 ก.ค.59 ที่โรงพยาบาลศูนย์ตรัง นายเอกพงษ์ แก้วดี อายุ 32 ปี ทำงานสังกัดโรงพยาบาลชุมชนแห่ง กล่าวว่า ตนแต่งงานกับภรรยาประมาณเดือนมีนาคม 59 ที่ผ่านมา ต่อจากนั้นประมาณเดือน มิ.ย. ภรรยาตนตั้งครรภ์ มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน จึงไปฝากครรภ์ที่คลินิกแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าเมื่อแพทย์ตรวจเช็คอัลตราซาวด์ร่างกายอย่างละเอียดพบว่า เป็นการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งขณะนั้นอายุครรภ์ประมาณ 7 สัปดาห์ เห็นการเต้นของหัวใจเด็กชัดเจน แต่ไม่ได้เป็นการท้องในมดลูกตามปกติ แพทย์จึงได้ทำหนังสือส่งตัวพร้อมแนบผลอัลตราซาวด์ เข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลศูนย์ตรัง แต่พอมาถึงโรงพยาบาลศูนย์ตรัง แพทย์เจ้าของไข้กลับมีความเห็นว่า เด็กอยู่ในปีกมดลูกด้ายซ้าย ซึ่งตนและครอบครัว ก็แย้งว่าทำไมไม่ตรงกับผลของแพทย์ประจำคลินิกที่ระบุว่าอยู่ด้านขวา แต่แพทย์ก็ยืนยันว่า อยู่ด้านซ้าย พร้อมกับต่อว่าตนเองและแม่ของตนที่ทักท้วงโดยใช้กิริยาและวาจาดูหมิ่น พูดจาไม่สุภาพ และยืนยันจะต้องผ่าตัดด้านซ้ายเพื่อเอาเด็กออก

 

ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา ภรรยากลับมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้ และอาเจียนอีก จึงพาไปพบแพทย์ที่คลินิกเดิม โดยแพทย์ประจำคลินิกก็ตกใจว่าทำไม ไปผ่าตัดปีกมดลูกด้านซ้าย ทั้งๆที่ส่งผลอัลตราซาวด์ไปกับใบส่งตัว ก็ระบุชัดว่าอยู่ด้านขวา จึงได้ทำการอัลตราซาวด์ซ้ำ โดยเรียกตนเองเข้าไปดูภาพเพื่อยืนยัน ปรากฏว่าพบเด็กยังอยู่ในปีดมดลูกด้านขวา และเจริญเติบโตมากกว่าเดิม อายุครรภ์เพิ่มขึ้นเป็น 10 สัปดาห์เศษ จากนั้น ตนกับครอบครัวจึงพาภรรยากลับไปที่โรงพยาบาลศูนย์ตรัง พบแพทย์ท่านเดิมอีกครั้ง พร้อมกับสอบถามเหตุผล และยืนยันว่าทางครอบครัวได้ทักท้วงไปแล้วในครั้งแรก แต่แพทย์ไม่รับฟัง ไม่นำผลอัลตร้าซาวน์ของคลินิกมาตรวจสอบ และที่สำคัญหลังรับตัวคนไข้แล้ว แพทย์ไม่ทำการตรวจอัลตร้าซาวน์ซ้ำ เพื่อความถูกต้องในการรักษา

 

โดยครอบครัวตนเอง เสียใจที่สุด เพราะการผ่าตัดรอบที่ 2 เท่ากับว่า ทำให้ครอบครัวตนหมดสิทธิมีลูกไปเลยตลอดชีวิต โดยหลังจากนี้จะทำหนังสือร้องเรียนไปยัง สำนักงานปลัด กระทรวงสาธารณสุข และจะร้องแพทยสภา เพื่อเอาเรื่องให้ถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อ ผู้บริหาร รพ.ตรัง แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน