เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 4 พ.ค. ที่ตลาดใหม่ดอนเมือง พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (บช.ทท.) ชุดเฉพาะกิจจาก ตร. และตำรวจท้องที่ สน.ดอนเมือง สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่กรมโรงงาน เจ้าหน้าที่สรรพากร กว่า 300 นาย ตรวจค้นร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐาน 13 จุด

พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวว่า การตรวจค้นครั้งนี้เป็นการตรวจค้นครั้งที่ 3 ซึ่งเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้ตรวจค้นไปแล้ว 6 จุด และวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา มีการตรวจค้นอีก 117 จุด โดยสามารถตรวจยึดของกลางได้ 107 จุด รวม 2 วันที่ผ่านมา มีการตรวจค้น 123 จุด สามารถตรวจยึดได้ 113 จุด และนำตัวบุคคลที่เป็นจ้าของร้านค้าไปสอบปากคำที่สโมสรตำรวจ วิภาวดีรังสิต แล้ว ซึ่งตอนแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งใจจะสอบปากคำที่ตลาดแห่งนี้ แต่เนื่องจากทางเจ้าของตลาดไม่ให้ใช้สถานที่ โดยตลอดทั้ง 2 วันที่ผ่านมา ที่มีการเข้าตรวจค้น พบร้านค้ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ขายของผิดกฎหมาย

พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวต่อว่า และในวันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีหมายค้นมาทั้งหมด 13 หมายตามเป้าที่ตั้งไว้ ซึ่งจะต้องทำการตรวจค้นให้แล้วเสร็จภายในวันนี้ หากพบว่ามีผู้ขัดขวางการทำงานให้แจ้งว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ แต่หากยังขัดขวางอยู่ไม่ว่าบุคคลใดก็ให้ถ่ายวิดีโอและภาพไว้ เพื่อจะนำไปดำเนินคดี 1 ครั้ง ต่อ 1 กระทง โดนมีโทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีพ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจ รอง ผกก.สันติบาล ว่าตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจขอทำการปฏิบัติการก่อน ส่วนเรื่องอื่นนั้นอายุความยังอยู่อีกนานสามารถดำเนินการได้ อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุอะไรตนจะรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตนเอง และขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานที่มีความอดทนและอดกลั้นในการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ภารกิจประสบความสำเร็จได้อย่างดีเยี่ยม และขอหมอบสโลแกนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการว่า “องอาจ สมาร์ท ฮึกเหิม”

ต่อมาเวลา 09.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายศาลแขวงดอนเมืองเข้าค้นอาคารพาณิชย์เลขที่ 199/130-199/131 จำนวน 2 คูหา ซึ่งเป็นจุดที่ 1 ภายหลังการตรวจค้นกว่า 1 ชั่วโมง พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวว่า จากการตรวจค้นอาคารแห่งนี้พบวัตถุดิบ และสารตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง เครื่องกวน สูตรที่ใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง และเครื่องปริ้นเตอร์สติ๊กเกอร์ขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 2 เมตร ที่ใช้ปริ้นตรายี่ห้อต่างๆ ให้กับลูกค้า ทั้งนี้ อาคารดังกล่าวไม่มีการจดตั้งบริษัทหรือขออนุญาตใด ถือว่าผิดกฎหมายในถูกกรณี

พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังพบผลิตภัณฑ์ที่ทำไว้อย่างสมบูรณ์คือ ยี่ห้อมิราเคิล 5 เดย์ ออร่า ซึ่งเป็นการโฆษณาเกินจริง และต้องตรวจสอบว่ามีหมายเลขจดแจ้งถูกต้องหรือไม่ และผลิตภัณฑ์หัวเชื้อนางพญา ซึ่งมีสรรพคุณทำให้ผิวขาวใส ซึ่งไม่มีเครื่องหมายจดแจ้ง อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่าผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในร้านแห่งนี้เป็นของผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นหมายเลข อย.ปลอม หมายเลขจดแจ้งปลอม โดยเชื่อว่ามีลูกค้ามากกว่า 1,000 ราย และกระจายสินค้าทั่วประเทศทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล ถือเป็นแหล่งผลิตเครื่องสำอางที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง ส่วนครีมต่างๆ ที่พบจะต้องให้ทาง อย. ตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง ว่ามีสารต้องห้ามหรือไม่

รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ เจ้าของร้านไม่มีความรู้ว่าแบบไหนเป็นโรงงานหรือไม่เป็นโรงงาน แบบไหนผลิต แบบไหนไม่เป็นผลิต ซึ่งตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการบรรจุหีบห่อ หรือติดสติกเกอร์ก็ถือว่าเป็นการผลิต ส่วนคำว่าโรงงานนั้น มีคนมากกว่า 7 คนขึ้นไป มีเครื่องจักรที่มีความสูงถึง 5 แรงม้า ก็ถือว่าเป็นโรงงานแล้ว นอกจากนี้ ทางกฎหมายยังระบุว่า ผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินหรือสถานที่ปล่อยให้ผู้ที่กระทำความผิดมาได้เช่าหรือใช้นั้น จะต้องยึดพื้นที่ดังกล่าวเป็นของหลวงหรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยทางเจ้าของที่จะอ้างอะไรก็ได้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการรวบรวมพยานหลักฐาน หากพบความผิดในข้อหาใดก็จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา

“ส่วนที่ต้องเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เป็นจำนวนมาก เพราะแต่ละจุดที่เข้าตรงค้นมีจำนวนหลายชั้นและมีผลิตภัณฑ์จำนวนมาก เชื่อว่าหนึ่งคูหารถบรรทุก 10 ล้อ 1-3 คัน ยังใส่ไม่น่าจะหมด เชื่อว่าหากค้นทั้ง 12 จุด รถบรรทุกน่าจะประมาณ 30 กว่าคัน จึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเยอะ สำหรับในเรื่องของกลุ่มผู้มีอิทธิพลนั้น การปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นการบังคับใช้กฎหมายซึ่งสามารถใช้ได้ทุกที่ หากมีใครมาขัดขวางเราจะดำเนินคดีทันที หากจะใช้กฎหมู่เหนือกฎหมายนั้น โดยให้ผู้ที่ทำผิดกฎหมายมารวมตัวกัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ยินยอม และหากมีเหตุอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจะบังคับใช้กฎหมายทันที” พล.ต.อ.วิระชัย กล่าว

ด้าน นายประพนธ์ อางตระกูล ที่ปรึกษาคณะกรรมการ อย. เปิดเผยว่า การตรวจสอบว่าเครื่องสำอางชนิดใดเป็นเครื่องสำอางที่มีอันตรายหรือไม่ ขอแนะนำ 2 วิธี วิธีที่ 1.เข้าไปในเว็บไซด์ของ อย. และพิมพ์หมายเลขจดแจ้งทั้ง 10 หลัก เพื่อตรวจว่าเครื่องสำอางดังกล่าว ได้จดแจ้งไว้หรือไม่ และเลขที่จดแจ้งจะแสดงถึงชื่อที่อยู่ของผู้ผลิตว่าตรงหรือไม่ หากพบว่าเป็นเครื่องสำอางที่ห้ามใช้ หมายถึงกรณีการเติมสารวิตามินเอ แอซิด ซึ่งทาง อย. ประกาศห้ามใช้ โดยในเว็บไซด์จะมีรูปของตัวผลิตภัณฑ์ ชื่อ ยี่ห้อ แสดงให้เห็นเลย

นายประพนธ์ กล่าวต่อว่า 2.มีแอพพลิเคชันชื่อ “อย.สมาร์ท” ให้ดาวน์โหลดไว้เพื่อให้ประชาชนได้ตรวจสอบว่าเครื่องสำอางนี้เคยโดย อย.ประกาศยกเลิกหรือไม่ เลขจดแจ้งตรงกันหรือไม่ อย่างในวันนี้พบว่าเลขจดแจ้งส่วนใหญ่อยู่ที่จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งไม่ได้ผลิตในสถานที่แห่งนี้ก็ถือว่าปลอม ส่วนกรณีสินค้าที่เคยได้รับอนุญาตจากทางอย.ก่อนหน้านี้ แต่ได้ถูกยกเลิกไปภายหลัง ทางเจ้าหน้าที่ อย. และกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่ต่างๆ ให้สุ่มตรวจตามร้านค้า ซึ่งในกรณีของเมจิกสกิน ทางอย.ได้ประกาศไปแล้วว่าสินค้าที่อยู่ในเครือข่ายดังกล่าว ไม่เคยมีการจดแจ้งกับ อย.มาก่อน อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทางอย.เคยส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบสถานที่ดังกล่าวแล้ว แต่มีความยากในการตรวจสอบพอสมควร เนื่องจากเมื่อตรวจร้านแรกเสร็จร้านต่อไปก็จะทำการปิดลงทันที

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากตรวจสอบสถานที่แรกเสร็จแล้ว พล.ต.อ.วิระชัย ได้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการไปทำการตรวจค้นยังจุดที่ 2 อาคารเลขที่ 199/260 โดยด้านล่างเปิดเป็นร้านขายของมือสอง เช่น เสื้อผ้า รองเท้า ซึ่งจากการตรวจค้นภายในอาคารดังกล่าว พบสบู่น้ำนมพริ้มพรายซึ่งเป็นสินค้าของเมจิกสกิน โดยถูกเก็บอยู่ภายในลังใต้บันได ซึ่งสินค้าดังกล่าว ไม่ได้มาตรฐานทางเจ้าหน้าที่จึงตรวจยึด อีกทั้ง ร้านดังกล่าวยังเปิดเป็นร้านขายเสื้อบังหน้าอีกด้วย

จุดที่ 3 ร้านใจดี อาคารเลขที่ 199/225 จากการตรวจค้นพบส่วนผสมของครีมสูตรต่างๆ สบู่ก้อน, เครื่องสำอางค์ที่ไม่มีสลาก พบเตียงนวดหน้า นอกจากนี้ ยังพบว่าร้านค้าแห่งนี้มีการผลิตบรรจุภัณฑ์เอง และพบห้องเก็บส่วนผสมของครีมและสบู่ ก่อนบรรจุจำนวนมาก เช่น สเต็มเซลล์, มาร์คแพลงตอล, ครีมซุปเปอร์ไวท์ และครีมไฮเตอร์ ซึ่งลักษณะส่วนผสมต่างๆถูกบรรจุไว้ในถุงพลาสติก และมีการแยกขายอีกด้วย ซึ่งเจ้าของร้าน อ้างว่า ในส่วนของเตียงนั้นเคยเปิดร้านสปามาก่อน ที่จ.อยุธยา แต่ปิดไปหลายปีแล้ว จึงนำมาไว้ที่ร้าน เพื่อนวดหน้าตนเอง โดยยืนยันไม่ได้มีการนวดหน้าให้กับลูกค้า และที่มีส่วนผสมอยู่ด้านล่างนั้นเอาไว้โชว์ให้ลูกค้าเห็นภาพเท่านั้น

จุดที่ 4 ร้านพลิตตี้โนว่าเฮิร์บ อาคารเลขที่ 199/261 เป็นร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าจำพวกครีมและอาหารเสริม ซึ่งภายในร้านค้ามีการติดป้ายสินค้าหมดอายุ งดจำหน่ายทั้งหมด และยังมีฝุ่นเกาะสินค้าสกปรก มีอาหารสัตว์และครีมหกกระจายเต็มพื้น นอกจากนี้ พบเครื่องบรรจุครีมที่ติดป้ายว่า ชำรุด พร้อมจำหน่าย ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบ พบว่า เครื่องบรรจุครีมดังกล่าวลักษณะเหมือนเพิ่งใช้งานเสร็จ เนื่องจากเครื่องยังอุ่น ครีมยังติดอยู่ภายในเครื่องกวนครีม ซึ่งยังไม่แห้ง เจ้าหน้าที่คาดว่า เจ้าของร้านอาจรู้ตัวและกำลังหลบหนี นอกจากนี้ พบว่าชั้นบนของร้านมีลักษณะคล้ายสตูดิโอไว้สำหรับถ่ายสินค้าด้วย

พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวว่า สำหรับร้านดังกล่าว มีการเขียนหน้าร้านว่าปิดกิจการ ขณะเข้าทำการตรวจค้น บุคคลที่อยู่ในร้านได้ทำการหลบหนีจึงได้ให้บุคคลที่อยู่ระแวกดังกล่าว ที่เป็นคนกลางเข้ามาเป็นพยานการตรวจค้น จากการตรวจค้นพบว่าที่แห่งนี้เป็นโรงงานผลิตเครื่องสำอาง มีเครื่องบรรจุครีม และคาดว่ามีคนงานเกิน 7 คน สำหรับสินค้ามีทั้งอาหารเสริม ครีม และเครื่องสำอาง ที่ไม่ถูกต้อง โดยจะตรวจยึดสินค้าและเครื่องจักรภายในร้านทั้งหมด นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการรับรีวิว รับถ่ายแบบ รับทำ อย. มีการคิดค้นสูตรให้ และคิดแพ็คเกจ พร้อมทั้งทำการตลาดสินค้าให้ จึงถือว่าร้านค้าแห่งนี้ทำกิจการผิดกฎหมายครบวงจร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน