เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 7 ธ.ค. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งดำเนินเป็นวันที่ 55 ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมศพ ทรงกราบหน้าพระบรมโกศพระบรมศพ จากนั้นทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ที่หน้าพระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร แล้วถวายภัตตาหารแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และวัดบวรนิเวศวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่ค่ำวันที่ 6 ธ.ค. โดยมี ม.จ.จุลเจิม ยุคล, พล.ท.ม.จ.เฉลิมศึก ยุคล, ม.ร.ว.ปิยฉัตร ฉัตรชัย, ม.ล.เทวพร เทวกุล ร่วมในพระราชพิธีด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นวันที่ 38 ที่พระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศสวมชุดไว้ทุกข์สุภาพเรียบร้อย เดินทางมาต่อคิวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นเวลา 04.55 น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี ก่อนเปลี่ยนทางเข้าเป็นทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน ในเวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี
ทั้งนี้ พสกนิกรที่มากราบสักการะพระบรมศพทุกคนยังคงอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจ หลายคนกอดพระบรมฉายาลักษณ์ที่นำมาจากบ้านไว้แนบอก และเมื่อเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พิมพ์ 4 สี ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้เป็นวันแรกที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทาน พระบรมราชานุญาตให้สมาชิกราชสกุลทุกมหาสาขาและราชนิกุล ในพระบรมราชจักรีวงศ์ ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญพระกุศล ถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ต่อมาเวลา 10.45 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะองค์ประธานทุนจุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์ เสด็จฯยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในการบำเพ็ญพระราชกุศล สวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงวางพวงมาลาทุนจุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมศพ ทรงกราบหน้าพระบรมโกศพระบรมศพ
จากนั้นทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ที่หน้าพระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร และถวายภัตตาหารแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และวัดอนงคารามวรวิหาร โดยมีสมาชิกราชสกุล ยุคล, มหิดล, จักรพงศ์, จุฑาธุช, บริพัตร, รังสิต, ศักดิเดชน์ ภาณุพันธ์, มูลนิธิจุมภฎ-พันธุ์ทิพย์ เป็นเจ้าภาพร่วมในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล เข้าร่วมในพระราชพิธีด้วย
ต่อมาเวลา 11.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ และถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรม จำนวน 8 รูป จากวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และวัดอนงคารามวรวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมพระบรมศพ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ไห้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 21.05 น. ว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 35,943 คน รวม 37 วัน มีจำนวน 1,316,302 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงินยอดเงิน 3,031,146.50 บาท รวม 37 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 101,533,747.50 บาท
ส่วนที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศเหนือ เยื้องกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยรวมอยู่ภายในศูนย์อาหารบริการประชาชน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงห่วงใยพสกนิกรที่มาสักการะพระบรมศพ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ นำอาหาร ขนม ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน ประกอบด้วย มื้อเช้าเวลา 07.00 น. เกี๊ยวน้ำลูกชิ้นปลา 1,500 ถ้วย กาแฟบาริสต้า 2,500 แก้ว นมหนองโพ 2,000 กล่อง
มื้อกลางวันเวลา 11.00 น. ข้าวมันไก่ไรซ์เบอรี่ 1,500 จาน ข้าวพะแนงหมู 1,500 จาน ขนมจีนน้ำยากะทิลูกชิ้นปลา 1,000 จาน มื้อบ่ายเวลา 16.00 น. ขนมไทย 1,000 กล่อง ซาลาเปาหมูแดง-หมูสับ 1,000 ลูก เฉาก๋วย 1,000 ถุง ขนมหวาน 1,000 ถ้วย มื้อเย็นเวลา 18.00 น. ข้าวไข่พะโล้ กุนเชียง 3,000 จาน ขณะเดียวกันมีน้ำดื่มสมุนไพร 700 ลิตร และน้ำดื่มจิตรลดาให้บริการประชาชนตลอดทั้งวัน
เจ้าหน้าที่แจ้งว่า วันนี้สำนักนายกรัฐมนตรีนำนักเรียนจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา จำนวน 10 คน และครูอีก 3 คน มาช่วยปรุงและจัดอาหารพระราชทาน โดยมีเชฟจากสมาคมเชฟแห่งประเทศไทยมาควบคุมการปรุงอาหาร พร้อมกับช่วยสอนนักเรียนที่ถือโอกาสมาเรียนรู้การปรุงอาหารด้วย พร้อมแจกจ่ายอาหารให้กับประชาชนด้วย ทำให้เด็กได้เรียนรู้งานอย่างครบถ้วน เป็นการถวายงานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นับเป็นการบูรณาการในการทำงาน
ส่วนเต็นท์หน่วยแพทย์พระราชทาน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณท้องสนาม ฝั่งทิศเหนือ บริเวณทางเข้าที่ประชาชนจะเดินเข้ามารอภายในเต็นท์ก่อนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พร้อมด้วย พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงห่วงใยในพสกนิกรที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีรับสั่งให้มีหน่วยแพทย์พระราชทาน มาดูแลสุขภาพประชาชนเป็นประจำทุกวัน ต่อเนื่องจนครบ 100 วัน
สำหรับในวันนี้มีหน่วยแพทย์ พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล เภสัชกร และบุคลากร จากโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จำนวน 10 คน แพทย์ พยาบาล จากโรงพยาบาลตรัง จ.ตรัง จำนวน 3 คน และโรงพยาบาลพุทไธสง จ.บุรีรัมย์ จำนวน 3 คน มาให้บริการดูแลประชาชนตลอดทั้งวัน ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายเป็นลม และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ขณะเดียวกันสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงพระราชทานอาหารมื้อกลางวัน ซึ่งแจกจ่ายให้ประชาชนในเวลา 12.00 น. สำหรับเมนูวันนี้เป็นข้าวพะโล้น่องไก่จำนวน 500 กล่อง พร้อมขนมและน้ำดื่ม
ด้าน นางเติม นาสวาสดิ์ สมาชิกกลุ่มสตรีหนองพรานพุก ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า กลุ่มสมาชิกเดินทางออกจากหัวหินช่วง 4 ทุ่ม มาถึงท้องสนามหลวงประมาณตี 3 เพื่อมาเข้าคิวรอ ดีใจและปลาบปลื้มมากที่ได้มากราบสักการะพระบรมศพในหลวง ร.9 ที่เราอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะพระองค์ทรงนำความเจริญไปให้ทั้งสร้างอ่างเก็บน้ำเขาเต่า ทำให้ชาวบ้านมีน้ำใช้ทางการเกษตร และสร้างถนนเส้นห้วยมงคลทำให้ชาวบ้านเดินทางสะดวกสบายขึ้น ก่อนนี้เป็นถนนดินธรรมดาช่วงในฝนตกจะเดินทางลำบากมาก
“ในหลวง ร.9 ท่านรักหัวหินมาก และประชาชนชาวหัวหินก็รักพระองค์ท่านมากเช่นกัน ช่วงที่พระองค์ประทับอยู่ที่วังไกลกังวล ในวันสำคัญๆ ชาวหัวหินก็จะมารวมทำกิจกรรมที่หน้าวังไกลกังวล ท่านไม่อยู่แล้วก็เงียบเหงา แต่พวกเราก็ต้องอยู่ให้ได้ วันนี้มีโอกาสมากราบสักการะพระบรมศพ ก็อธิษฐานว่าให้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย ทั้งนี้จะนำพระบรมฉายาลักษณ์ที่ได้ไปใสกรอบบูชา และจะขอปฏิบัติตามแนวทางที่พระองค์ท่านสอน เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูกหลานในเรื่องความประหยัดอดออม และขยันอดทน รู้จักกิน รู้จักใช้และรู้จักเก็บ” นางเติม กล่าว
น.ส.ทัชชา บำเรอจิต อายุ 43 ปี รองปลัดเทศบาลคลองแห อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มาพร้อมลูกสาว น.ส.พรสินี คนสวี อายุ 16 ปี เดินทางมาถึงบริเวณท้องสนามหลวงตั้งแต่เวลา 03.00 น. เปิดเผยว่า มากราบสักการะพระบรมศพในหลวง ร.9 เป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรกมาช่วงเดือนพ.ย. ตอนนั้นการรอเข้าแถวยังต้องเดินวนรอบสนามหลวงไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง แต่คราวนี้มีการจัดระเบียบดีขึ้น แบ่งพื้นที่เป็นเต็นท์ๆ และมีการจัดเก้าอี้ให้ประชาชนนั่งรอ เมื่อได้เข้ามาภายในพระบรมมหาราชวัง ก็เป็นช่วงที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯมาพอดี รู้สึกปลาบปลื้มมาก ทั้งนี้เคยได้รับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครั้งสุดท้ายเมื่อพ.ศ.2550 ขณะที่ท่านเสด็จฯ ยังพระบรมมหาราชวัง ตอนนั้นพระองค์ยังทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง ได้เห็นพระพักตร์ท่านอย่างใกล้ชิดน้ำตาก็ไหลด้วยความตื้นตันใจ
น.ส.ทัชชา กล่าวด้วยว่า ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงอยากพาลูกทั้งสามคนมีโอกาสเข้ากราบสักการะพระบรมศพ เพราะแม้เขาไม่มีโอกาสได้เห็นในช่วงที่ในหลวง ร.9 ทรงงาน แต่ด้วยความเป็นข้าราชการเราจึงได้ปลูกฝังเรื่องราวของพระองค์ท่านไม่ว่าจะเป็นพระราชกรณียกิจ พระบรมราโชวาท และโครงการในพระราชดำริต่างๆ เล่าให้ลูกฟัง รวมถึงให้ดูสารคดีและอ่านหนังสือต่างๆ พร้อมนำหลักคำสอนเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ การพออยู่พอกินใช้ชีวิตเรียบง่ายมาปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้ลูก นอกจากนี้ ด้วยเป็นข้าราชการเราถือว่าเป็นข้าของในหลวง เงินทุกบาททุกสตางค์เป็นของหลวงเปรียบเสมือนเงินของวัด ที่เราต้องมีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกง และจะนำข้าวเปลือกพระราชทานไปหว่านในนาข้าวของตนเอง เพื่อความเป็นสิริมงคล