จับล็อตสอง เครือข่าย‘โอดี แคปิตอล’ ตุ๋นลงทุน เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ เผยมีอดีตแฟน ดีเจกบ โดนด้วย บิ๊กโจ๊ก นำทีมแถลงรายละเอียดคดี

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 13 ส.ค. ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ(บก.ปอ ศ.) พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. พ.ต.อ.ปภัสเดช เกตุพันธ์ รอง ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รอง ผบก.ทท.1

จับล็อตสอง / พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว บก.ปอศ. และ ปปง. ร่วมแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายOD Capital (โอดี แคปิตอล) ครั้งที่ 2 จำนวน 16 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 130 ล้านบาท

จับล็อตสอง

บิ๊กโจ๊ก นำแถลง

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อช่วงต้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนผู้ได้รับความเสียหายจากผู้ประกอบการในเครือ OD Capital (โอดี แคปิตอล) เป็นจำนวนมาก

จึงได้ประสานกับทางพนักงานสอบสวนของ บก.ปอศ. ขอหมายจับกลุ่มผู้ต้องหาเครือข่ายในครั้งที่ 1 สามารถจับกุมตัวได้แล้ว 29 คนและยังหลบหนีอยู่ต่างประเทศอีก 3 คน

จับล็อตสอง

สอบผู้ต้องหา

ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ทางพนักงานสอบสวน บก.ปอศ. ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมในกลุ่มที่ 2 อีกจำนวน 16 คน สามารถจับกุมตัวได้ 10 คน ติดต่อมอบตัวเพิ่มอีก 2 คน และหลบหนีอยู่ในต่างประเทศอีก 4 คน

ซึ่งในชุดแรกที่จับกุมไปก็มีบุคคลมีสีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งกำชับมาว่า ถึงจะเป็นคนนอกเครื่องแบบหรือในเครื่องแบบก็ต้องบังคับใช้กฎหมายเดียวกันทั้งหมด

ส่วนพฤติกรรมของกลุ่มผู้ต้องหากลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 มีการกระทำความผิดลักษณะเดียวกันคือได้มีการชักชวนผู้เสียหายหรือเหยื่อทางโซเชียลมีเดีย ให้มาร่วมลงทุนซื้อหุ้นของ OD Capital และเมื่อบริษัทดังกล่าวเข้าตลาดหุ้น ราคาก็จะปรับเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า

มีการปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนเป็นการระดมทุน โดยโฆษณาชวนเชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทน 5-10 เปอร์เซนต์ของเงินลงทุนทุกเดือน นานถึง 24-30 เดือน

คนชักชวนผู้อื่นมาร่วมลงทุนก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นอีก 10 เปอร์เซนต์ แผนไบนารี่แบบจับคู่จับอีก 10 เปอร์เซนต์ จากการตรวจสอบไม่ได้จดทะเบียนพานิชยกิจในประเทศไทย และไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)

เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ จะทำการสืบสวนสอบสวนผู้ต้องหาที่สามารถจับกุมได้ เพื่อขยายผลจับกุมเครือข่ายที่เหลืออยู่ และประสานปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด เพื่อยึดทรัพย์สินทั้งหมดที่ได้มาจากการกระทำความผิด

แจ้งข้อหาตามพรก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 4[4] มีความผิดฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งมีโทษจำคุก 5-10 ปี และเป็นความผิดมูลฐานเข้าข่ายการฟอกเงินที่ต้องถูกยึดทรัพย์ ก่อนจะนำส่งพนักงานสอบสวน บก.ปอศ. ดำเนินคดีต่อไป

ด้านน.ส.นวพร เต่าทอง หรือดีเจกบ อายุ 37 ปี เป็นหนึ่งในผู้เสียหายเปิดเผยว่า ก่อนนี้เมื่อปี 2559 นายสหรัฐ เวโรจน์ อายุ 34 ปี อดีตแฟนหนุ่มซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ ได้ชักชวนให้ตนร่วมลงทุนที่บริษัทดังกล่าวประมาณ 2 แสนบาท

โดยอ้างว่า 1 เดือนหลังจากนี้จะได้เงินคืน 1 เท่า จนเมื่อผ่านไปครบเดือนที่จะได้เงิน แต่นายสหรัฐอ้างว่าระบบล็อคไม่สามารถจ่ายเงินให้ได้ ทำให้ตนเชื่อว่าการลงทุนครั้งนี้ถูกหลอกอย่างแน่นอน และจากนั้นตนได้พยายามสืบเรื่องด้วยตนเอง

จนทราบว่านายสหรัฐใช้พฤติกรรมแบบนี้กับผู้หญิงรายอื่นๆอีกด้วย จึงตัดสินใจเดินทางเข้าแจ้งความที่กองปราบปรามและคดีจบเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา ที่ตนเองเดินทางมาวันนี้เพื่ออยากจะบอกผู้เสียหายรายอื่นๆว่า ขอให้ออกมาแสดงตัวและแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อติดตามดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน