เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เผยแพร่เอกสารข่าวว่า ตามที่ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านคดีความ กรณีชุมชนราไวย์ ม.2 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต เกี่ยวกับปัญหาการพิพาทเรื่องสิทธิในที่ดิน โดยกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เป็นหน่วยงานรับเรื่องมาทำการตรวจสอบ และการปฏิบัติงานในครั้งนี้เป็นความร่วมมือของดีเอสไอ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ (สนว.) สถาบันวิจัยเพื่อสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิชุมชนไท และกรมศิลปากร

15317971_645197955684806_2557592323285262581_n

เอกสารข่าวระบุต่อว่า สืบเนื่องจากชาวเลราไวย์ถูกเจ้าของโฉนดที่ดินที่ออกทับพื้นที่อยู่อาศัยฟ้องขับไล่ ซึ่งปัจจุบันมีประชากรประมาณ 2,067 คน ใน 247 ครัวเรือน เนื้อที่ประมาณ 19 ไร่ อาศัยกันอย่างหนาแน่น โดยชาวเลอ้างว่าได้อยู่อาศัยและทำมาหากินในพื้นที่พิพาทต่อเนื่องมากว่า 7 ชั่วอายุคน มีการตั้งบ้านเรือน มีวัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แต่ด้วยความไม่รู้กฎหมาย จึงถูกบุคคลภายนอกที่เข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ภายหลัง แจ้งการครอบครองและทำประโยชน์และออกเอกสารสิทธิในที่ดิน แล้วนำเอกสารสิทธิดังกล่าวมาฟ้องขับไล่ เบื้องต้นศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้ราษฎรชาวเลราไวย์ออกจากพื้นที่แล้ว 9 ราย ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คำพิพากษา

เอกสารข่าวระบุอีกว่า ในการพิจารณาคดีฝ่ายชาวเลราไวย์ไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาหักล้างเอกสารสิทธิของฝ่ายโจทก์ ซึ่งออกมาจากหลักฐาน ส.ค.1 ที่มีผู้ไปแจ้งการครอบครองทับที่ดินของชาวเลราไวย์ เมื่อปี 2498 ได้ ประกอบกับเจ้าหน้าที่ที่ดินยืนยันว่าการออกโฉนดที่ดินดังกล่าว เป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบของกรมที่ดินแล้ว ทำให้ศาลพิพากษาว่าเอกสารสิทธิของฝ่ายโจทก์เป็นเอกสารมหาชนที่ออกโดยรัฐ เมื่อไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาโต้แย้งสิทธิได้ สิทธิของโจทก์จึงได้มาโดยชอบและมีคำสั่งให้ชาวเลราไวย์ ฝ่ายจำเลยออกจากพื้นที่พิพาท

ด้านพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เล็งเห็นถึงการอำนวยความยุติธรรมให้กับสังคม ซึ่งเป็นนโยบายของ ยธ. จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ทำการสืบสวนเรื่องนี้เพื่อหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์สิ่งที่ชาวเลกล่าวอ้าง และนำพยานหลักฐานเข้าสู่การพิจารณาของศาล ซึ่งจากการรวบรวมพยานหลักฐานได้พบหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าชาวเลราไวย์ได้อาศัยอยู่ก่อนการออก ส.ค.1 และโฉนดที่ดินของโจทก์ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายทางอากาศย้อนอดีต, โครงกระดูกที่ขุดค้นพบที่พื้นที่พิพาท ซึ่งตรวจดีเอนเอ แล้วมีความสัมพันธ์กับคนในชุมชนในลักษณะเครือญาติ โดยเฉพาะเจ้าของบ้านที่ทำการขุดค้น, ทะเบียนนักเรียนเล่มแรกของโรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ ที่พบรายชื่อชาวเลราไวย์เข้ามาศึกษาก่อนปี 2497 ก่อนออก ส.ค.1 ซึ่งพบว่ายังมีชีวิตอยู่บางส่วน และพยานหลักฐานอื่นๆ ซึ่งได้นำพยานหลักฐานดังกล่าวเสนอต่อศาลจังหวัดภูเก็ต เพื่อให้ศาลได้พิจารณาให้ความเป็นธรรม

ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดภูเก็ต มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่นายจำเริญ มุกดี ทายาทนายทัน มุกดี เจ้าของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 8324 ฟ้องขับไล่นายจรูญ หาดทรายทอง และนางแต๋ว เซ่งบุตร เนื่องจากมีพิรุธควรสงสัยหลายอย่างในหลักฐาน ส.ค.1 และใบไต่สวนในการออกโฉนดที่ดินแปลงพิพาท เนื่องจากมีการเพิ่มเติมข้อความ บันทึกข้อความอันเป็นเท็จ และไม่กรอกข้อความที่สำคัญว่ามีชาวเลอาศัยอยู่ในพื้นที่มาก่อนการออกโฉนด ทำให้ศาลสงสัยว่าผู้ที่มีชื่อในโฉนดที่ดินเป็นผู้ที่มีสิทธิในที่ดินหรือไม่ เมื่อมีเหตุอันควรสงสัย ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง

คดีนี้นับเป็นคดีแรกที่ดีเอสไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ที่ได้บูรณาการในการรวบรวมพยานหลักฐานและนำพยานหลักฐานต่างๆ เข้าสู่การพิจารณาของศาลเพื่อให้ศาลได้พิจารณาอย่างรอบด้าน จนนำมาสู่การยกฟ้องในที่สุด ทั้งนี้ สำหรับโฉนดที่ดินเลขที่ 8324 เนื้อที่ประมาณ 12 ไร่ มีชาวเลราไวย์อาศัยไม่น้อยกว่า 1,500 คน การมีคำพิพากษาในครั้งนี้จะมีผลต่อชาวเลราไวย์คนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในที่ดินตามโฉนดเลขที่ดังกล่าวด้วย

 
ภาพ เฟซบุ๊กชุมชนชาวเลราไวย์

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน