เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 ธ.ค. ที่บริเวณด้านหน้าทัณฑสถานโรงพยาบาบราชทัณฑ์ นางสุรัชดา แววศรี หรือ เก๋ ภรรยาของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้ต้องขังคดีรื้อบาร์เบียร์ พร้อมครอบครัว และทนายความ เดินทางมารอรับนายชูวิทย์ หลังเข้าหลักเกณฑ์ตามพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2559 เนื่องในโอกาสแรกนับแต่ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ สำหรับนายชูวิทย์ ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปี เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2559 และถูกจำคุกตามมาตรา 365 ซึ่งจะได้รับการลดวันต้องโทษตามมาตรา 7 ของพ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ จำนวน 1 ใน 4 ของโทษ จึงได้รับการปล่อยตัวในวันนี้ ซึ่งถือเป็นผู้ต้องขังกลุ่มแรกที่จะได้รับการปล่อยตัว

 

ทั้งนี้ เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ได้รับพระราชทานอภัยโทษด้วยการลดโทษตาม พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ 2559 เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี วันที่ 9 มิ.ย. 2559 และในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ วันที่ 12 ส.ค. 2559 ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และเป็นผู้ต้องขังชั้นดี ดังนั้น นายชูวิทย์ จึงได้รับการพระราชทานอภัยโทษรวม 2 ครั้ง ก่อนได้รับการปล่อยตัวพ้นเรือนจำดังกล่าว

 

ทั้งนี้ ได้รับการเปิดเผยจากทนายความของ นายชูวิทย์ ว่าหลังจากที่นายชูวิทย์ ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนแล้ว จะเดินทางไปยังโรงแรมเดอะเดวิส แบงคอก สุขุมวิท 24 ซึ่งเป็นโรงแรมของนายชูวิทย์ เพื่อพักผ่อนกับครอบครัว และทำกิจกรรมด้วยการว่ายน้ำที่โรงแรมดังกล่าว เพราะเป็นสิ่งที่นายชูวิทย์ อยากทำมากที่สุดหลังออกจากเรือนจำ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนกำหนดการจากเดิมที่จะเดินทางไปยังบาร์เบียร์ ย่านสุขุมวิท 24 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทำให้นายชูวิทย์ถูกจำคุก

 

นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนขอขอบคุณกระบวนการยุติธรรม เพราะนี่คือความรับผิดชอบต่อสังคมที่ตนมีตนยอมรับและชดใช้ความผิดผม จึงอยากจะฝากไปถึงคนที่หลบเลี่ยงกฎหมายไม่รับหมายศาลบ้าง ไม่ไปศาลบ้าง อ้างบวช อ้างธรรมะ อ้างอะไรต่างๆ ให้มาสู้เถอะคับ เมื่อผมรับผิดชอบปฎิบัติตามกฎหมาย ก็เป็นสิ่งที่เป็นกติกา ที่สังคมได้กำหนดไว้ เป็นกติกาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นความรับผิดชอบที่มีต่อสังคม ต้นใช้กระบวนการในต่อสู้ทางกฎหมายทุกอย่างเมื่อแพ้ ตนก็มาติดคุกเป็นกติกาที่ใช้ร่วมกันวันนี้ตนได้ออกมาระหว่างที่ผมอยู่ ตนปฏิบัติตัวเหมือนนักโทษทุกประการ

 

“ผมนอนกับพื้นตลอดเวลาที่ผมโดนขัง 15 ชั่วโมง ตนยืนยันว่าผมไม่เคยใช้สิทธิใดๆในการเป็น วีไอพี หรืออะไรทั้งนั้น ตั้งแต่ผมเข้าไปในคุกวันนั้นผมเป็นนักโทษชาย ชื่อชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นการต่อสู้ทางกฎหมาย ซึ่งผมไม่อยากให้ใครเอาผมมาเป็นตัวอย่างแต่เอาเป็นประสบการณ์ เมื่อวันหนึ่งคุณเจอแบบผม คุณต้องตัดสินใจว่าคุณจะต่อสู้หรือ คุณจะหนี หรือคุณเรียนรู้ เพราะนี่เป็นกติกาของสังคมที่คนในสังคมต้องยอมรับเพราะถ้าคุณไม่ยอมรับกฎหมาย ผมก็ไม่รู้คุณจะรับผิดชอบต่อสังคมได้อย่างไรผมใช้เวทีในการต่อสู้กฎหมายทุกครั้ง ผมไม่เคยหนีผมไปศาลทุกครั้งและอยากให้ดูผมเป็นตัวอย่าง ทั้งนี้ทุกอย่างก็คือ ประสบการณ์”นายชูวิทย์ กล่าว

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหลังจากนี้จะมาเล่นการเมืองอีกหรือไม่ นายชูวิทย์กล่าวว่า นี่ล่ะครับ มาอยู่นี่ผมคิดไว้แล้ว สาธุนะครับ ผมไม่อยากกลับไปติดคุกอีก วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรผมไม่ทราบ ถ้าผมคันปากอย่างจะไปออกข่าวคุยกับ สรยุทธ ซักหน่อย หากไม่อยู่เอาเป็นคนอื่นก็ได้ ในส่วนวันพรุ่งนี้ตนจะเดินทางไป ประเทศสหรัฐอเมริกา ไปงานรับปริญญาลูกสาวและอีก 5 วันจะกลับมา เมื่อผมไม่ได้เป็นนักการเมืองและก็จะหาอาชีพ ที่สุจริตทำ ไปสมัครงาน มีช่องไหนเขารับไหม ตนก็อยากไปเป็นพิธีกรจริงๆ อยากอ่านข่าวไม่แน่หลอกครับ ชีวิตผมดำเนินมาทุกอย่าง ธุรกิจสีเทา ทั้งอยู่ในสภา ผมอาจจะเขียนหนังสือซักเล่มเล่าประสบการณ์ของผม วันนี้ขบวนการยุติธรรมให้โอกาสผมได้ออกมาอีกครั้งนี่เป็นสิ่งที่ผมจะบอกกับทุกๆคนว่าความยุติธรรมมีจริง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน