เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 19 ก.ย. ที่ห้องพิจารณาคดี 903 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน คดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพีรพล หรือเปา ยศพงศ์อนันต์ อายุ 21 ปี นายอัครเดช หรืออั๋น ทัศนะ อายุ 22 ปี นายมนต์มนัส หรือเต้ย แสงโพธิ์ อายุ 21 ปี นายจตุพร หรือเบียร์ จันทร์โสภา อายุ 18 ปีเศษ นายเมฆ พลไกรษร อายุ 19 ปี นายอรินทร์หรือเตอร์ ยศพงศ์อนันต์ อายุ 19 ปี และ น.ส.ณัฐณิชา หรือเกม ฤทธิ์ล้ำเลิศ อายุ 18 ปีเศษ เป็นจำเลยที่ 1-7 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธและร่วมกันพกพาอาวุธมีดไปในเมืองฯ โดยไม่มีเหตุอันควร เนื่องจากเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม เวลากลางวัน พวกจำเลยบุกเข้าไปในบ้านพักของสมเกียรติ ศรีจันทร์ อายุ 35 ปี ชายพิการ อาชีพส่งขนมปังร้านปังหอม ใน ซอยโชคชัย 4 แขวงและเขตลาดพร้าว แล้วใช้อาวุธมีดแทงฟันนายสมเกียรติ จนถึงแก่ความตาย

201609191303281-20061002150020

โดยวันนี้ นางทองคำ ศรีจันทร์ มารดาของนายสมเกียรติ เดินทางมาพร้อมนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ และญาติกว่า 10 คน ขณะศาลเบิกตัวจำเลยทั้ง 7 มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลางเพื่อร่วมกระบวนพิจารณาคดี ศาลได้อธิบายคำฟ้องโดยสรุปให้จำเลยทั้ง 7 ฟังแล้วสอบคำให้การ จำเลยทั้งหมดขอให้การปฏิเสธ ขณะที่ทนายความจำเลยขอเลื่อนนัดพร้อมตรวจหลักฐานออกไปก่อน เพื่อจะขอสอบข้อเท็จจริงทางคดีให้ชัดเจนก่อน

201609191303287-20061002150020

ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงให้นัดพร้อมและตรวจหลักฐานอีกครั้งในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ เวลา 13.30 น. ส่วนที่นางทองคำ มารดาของผู้เสียชีวิต ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วยนั้น ศาลได้สอบถามอัยการและฝ่ายจำเลยแล้วไม่คัดค้าน นางทองคำเป็นมารดา จึงมีสิทธิที่จะเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ ในส่วนที่ได้รับความเสียหาย ศาลจึงอนุญาตให้เป็นโจทก์ร่วมได้ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

นายอนันต์ชัย กล่าวว่า วันนี้ศาลนัดตรวจหลักฐาน ฝ่ายโจทก์ยื่นบัญชีพยานไว้ 37 อันดับ แต่มีการตัดพยานออกไปเหลือประมาณ 17-18 อันดับ และศาลยังอนุญาตให้นางทองคำ มารดาผู้เสียชีวิต เข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ตามที่ขอ ขณะที่ศาลอ่านคำฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ศาลให้โอกาสจำเลยทบทวนใหม่ เนื่องจากแผลที่ผู้เสียชีวิตถูกทำร้าย 10 แห่ง สามารถทำให้ถึงตายได้ทั้งนั้น หากจำเลยจะต่อสู้ว่าบันดาลโทสะหรือป้องกันตัวก็เชื่อได้ยาก แต่ถ้ายอมรับสารภาพ โทษจะเบาลง เพราะจำเลยยังอยู่ในวัยที่เป็นเยาวชน ส่วนญาติผู้เสียชีวิตให้ว่ากันไปตามกระบวนการกฎหมาย เราไม่สามารถฝืนหรือวิจารณ์การลงโทษของศาลได้ แต่ถ้าฝ่ายเรายังติดใจโทษ สามารถยื่นอุทธรณ์ได้

“ศาลได้ปรานีให้โอกาสจำเลยได้กลับไปคิด กลับเนื้อกลับตัว และทางญาติจำเลยไม่ได้มาประกันตัว อาจเพราะสำนึกผิดในสิ่งที่พวกจำเลยทำ แต่ถ้ายังไม่มาขอโทษผู้เสียหาย ทางเราไม่ได้ใจร้ายจะเอาให้ถึงตาย เพราะจำเลยทั้ง 7 คนถือเป็นเยาวชน ความคิดอาจบกพร่องไปบ้างก็ให้อภัยได้ และเรื่องเกิดขึ้นนานแล้ว ญาติทำใจได้บ้าง อยากให้จำเลยสำนึกผิดเข้ามาขอโทษ และเยียวยาผู้เสียหาย โทษหนักจะได้เป็นเบา ทางญาติผู้เสียหายยื่นขอให้พวกจำเลยร่วมชดใช้ค่าเสียหาย 2 ล้านบาท” นายอนันต์ชัย กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า หนักใจประเด็นสารเสพติดที่พบในร่างกายผู้เสียชีวิตหรือไม่ นายอนันต์ชัย กล่าวว่า การกระทำที่เป็นการทำร้ายผู้เสียชีวิตเป็นความผิดอยู่แล้วตามกฎหมาย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน