เมื่อเวลา 07.10 น. วันที่ 28 ธ.ค. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมศพ ทรงกราบหน้าพระบรมโกศพระบรมศพ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่หน้าพระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร

จากนั้นทรงประเคนภัตตาหารเช้าแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร และวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่ค่ำวันที่ 27 ธ.ค. ในการนี้มีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่ สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรม พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นประธาน บำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรม รวม 8 รูป จากวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร และวัดราชสิทธารามราชวรวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมพระบรมศพ โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมเป็นเจ้าภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักพระราชวังสรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. หลังสำนักพระราชวัง ปิดการขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 23.17 น. จากกำหนดเดิมเวลา 21.00 น. เนื่องจากยังมีประชาชนเข้าแถวรอกราบสักการะพระบรมศพเป็นจำนวนมาก โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 55,668 คน รวม 58 วัน มี 2,404,706 คน และมีประชาชนถวายเงิน เพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 5,588,954.50 บาท รวม 58 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 192,547,141.75 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า วันนี้เป็นวันที่ 59 ที่มีพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชน เข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 05.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) ซึ่งสำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนกลุ่มแรกเข้าสักการะพระบรมศพทางประตูวิเศษไชยศรีในเวลา 04.40 น. โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาเฝ้ารอต่อคิวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ภายหลังเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึก

น.ส.ฐิติกาญจน์ อนวัชสกุล อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่เดินทางมากับนางอรุณี อนวัชสกุล อายุ 56 ปี มารดา และครอบครัว รวม5 คน กล่าวว่า ตนกับครอบครัวออกเดินทางจาก จ.สมุทรปราการ มาถึงสนามหลวงประมาณ 02.00 น. และได้เข้าประมาณ 09.30 น. ระหว่างรอก็ตื่นเต้นและไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เมื่อได้เข้าไปกราบสักการะพระบรมศพก็ปลาบปลื้มมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้มา แม้ตนจะเกิดไม่ทันเห็นพระองค์ทรงงานและไม่เคยได้รับเสด็จ แต่ก็ติดตามข่าวที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามที่ต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน ถ้าหากไม่มีพระองค์ ประเทศเราคงไม่มาถึงจุดนี้ได้ ทำให้ตนรักและประทับใจทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ส่วนตัวน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต และตั้งใจว่าจะทำความดีเพื่อตอบแทนพระองค์

ด้านนางอรุณี กล่าวว่า ตนปลาบปลื้มและตื้นตันใจมากที่ได้มากราบสักการะพระบรมศพ แม้จะเจ็บหัวเข่า แต่ตั้งใจแล้วว่าจะมาให้ได้ พอมาถึงก็ไม่รู้สึกเจ็บเลย ส่วนตัวไม่เคยมีโอกาสได้รับเสด็จ รู้สึกเสียดายมากที่ไม่เคยได้เห็นพระองค์จริง ได้แต่ติดตามดูข่าวพระราชสำนักทุกวัน เห็นพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมาย พระองค์พระราชทานโครงการพระราชดำริต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เช่น การแก้ปัญหาน้ำ ด้วยการสร้างเขื่อน และแก้มลิง การแก้ไขปัญหาการปลูกพืชให้ชาวเขา

“ดิฉันเห็นพระองค์ทรงงานอย่างเหน็ดเหนื่อยก็รู้สึกเหนื่อยแทน และทราบมาว่าวันหนึ่งพระองค์ทรงพระบรรทมแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ดิฉันรักและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ดิฉันทำบุญตักบาตรก็จะอธิษฐานถวายเป็นพระราชกุศล และขอให้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย ขอพระบารมีช่วยปกป้องคุ้มครองประชาชนให้มีความสุข ดิฉันดีใจมากที่เกิดใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของในหลวง รัชกาลที่ 9” นางอรุณี กล่าว

น.ส.อัมพร บำรุงผล อายุ 58 ปี ผอ.โรงเรียนวัดบ้านนา (ฟินวิทยาคม)

ส่วน น.ส.อัมพร บำรุงผล อายุ 58 ปี ผอ.โรงเรียนวัดบ้านนา (ฟินวิทยาคม) อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นำคณะครูและนักเรียนชั้น ป.5 รวม 100 ชีวิต เดินทางจาก จ.ชลบุรี มากราบสักการะพระบรมศพ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ทุกคนเป็นข้ารองบาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงอยากน้อมถวายความอาลัยแก่พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เด็กบางคนอาจขาดโอกาสไม่สามารถมาด้วยตัวเอง หรือไม่มีผู้ปกครองพามา ทางโรงเรียนจึงประสานงานกับทางสำนักพระราชวังเพื่อขอพาเด็กนักเรียน ตั้งแต่ชั้น ป.4-ป.6 มาถวายสักการะ จำนวน 3 วัน ซึ่งในวันนี้เป็นวันที่ 2

นายจุฬนิจ ชูศรี อายุ 23 ปี และเพื่อน

“โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนที่น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงระดับประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ ดังนั้นหลักสูตรการสอนจึงบูรณาการด้านศีลธรรม ไม่ได้มุ่งเน้นแค่วิชาการ แต่สอนให้นักเรียนพอใจ พอเพียงจากสิ่งที่ตัวเองมี ด้วยพื้นที่ค่อนข้างจำกัดแค่ 2 ไร่ ประกอบกับอยู่ในเขตพื้นที่อุตสาหกรรม จึงไม่มีการทำการเกษตร แต่เราก็แนะให้นักเรียนลองปลูกพืชผักในกระถางทดแทน” ผอ.โรงเรียนกล่าว

น.ส.ฐิติกาญจน์ อนวัชสกุล อายุ 22 ปี และมารดา

ขณะที่นายจุฬนิจ ชูศรี อายุ 23 ปี ชาว จ.สุราษฎร์ธานี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะครุศาสตร์ สาขาพละศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ที่เดินทางมากับเพื่อน กล่าวว่า ออกจากที่พักเพื่อมารอต่อแถวเข้าสักการะตั้งแต่เวลา 03.00 น. และได้เข้าสักการะเวลา 09.30 น. ตนปลาบปลื้มและรู้สึกเป็นบุญมากที่ได้มากราบสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ระหว่างกราบสักการะพระบรมศพตนได้อธิษฐานให้พระบารมีของพระองค์ ช่วยปกปักคุ้มครองประชาชนทุกคนให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางมา และต้องมาแต่เช้าหรือรอคิวหลายชั่วโมงก็้ไม่รู้สึกเหนื่อย ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเดินทางมากราบพระองค์อีก

นายจุฬนิจ กล่าวต่อว่า สำหรับตนได้น้อมนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนบ้านที่สุราษฎรธานีก็ได้ปลูกผักและเลี้ยงปลาไว้กินในครัวเรือน นอกจากนี้ ก็ใช้จ่ายอย่างประหยัดอดออม เมื่อมีเวลาว่างก็จะไปรับจ้างเป็นกรรมการตัดสินกีฬาต่างๆ เพื่อหารายได้มาแบ่งเบาภาระของพ่อแม่

“ตั้งแต่เด็กได้เห็นในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานหนักเพื่อประชาชนทุกคน ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะเดินทางไปในถิ่นทุรกันดาร จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมทำตามความฝันที่จะเป็นครูพละศึกษา จากที่ช่วงวัยเด็กค่อนข้างจะเกเร และไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ หากได้เป็นครู ตั้งใจจะปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างให้กับนักเรียน ไม่เพียงแค่บอกให้นักเรียนทำอย่างเดียว แต่จะทำให้นักเรียนเห็นด้วย” นายจุฬนิจกล่าวด้วยความมุ่งมั่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศเหนือ เยื้องกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยรวมอยู่ภายในศูนย์อาหารบริการประชาชน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ นำอาหาร ขนม ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน

โดยแบ่งเป็นมื้อเช้าเวลา 07.00 น. ราดหน้าไก่ 1,500 ถ้วย, กาแฟสด 2,500 แก้ว, นมหนองโพ 2,000 กล่อง, เค้กบราวนี่ 400 ชิ้น มื้อกลางวันเวลา 11.00 น. บะหมี่เซี่ยงไฮ้ 1,000 ถ้วย, ข้าวแกงกะหรี่ 1,000 จาน, ขนมจีนไตปลา 1,000 จาน ข้าวน้ำพริกไข่ชะอมทอด-มะเขือยาวทอด 1,000 จาน มื้อบ่ายเวลา 16.00 น. ขนมไทย 1,000 กล่อง, ซาลาเปาหมูสับ-หมูแดง 1,000 ลูก เฉาก๊วยชากังราว 1,000 ถุง และมื้อเย็นเวลา 18.00 น. ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น 3,000 ถ้วย โดยมีน้ำดื่มสมุนไพร 700 ลิตร และน้ำดื่มจิตรลดาให้บริการประชาชนตลอดทั้งวัน

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่กองงานในพระองค์ฯ เปิดเผยว่า เนื่องจากในวันที่ 31 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คาดว่าจะมีประชาชนมากราบสักการะพระบรมศพเป็นจำนวนมาก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีรับสั่งให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ เพิ่มจำนวนอาหาร เพื่อให้เพียงพอกับประชาชนที่มาสักการะพระบรมศพ โดยหน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ ได้เตรียมเมนูพิเศษเป็นข้าวเหนียวไก่ทอด จำนวน 12,000 ชุด แจกจ่ายให้ประชาชนตลอดวันที่ 31 ธ.ค. นอกเหนือจากเมนูอาหารประจำวันที่มีอยู่แล้ว

เจ้าหน้าที่กองงานในพระองค์ฯ เปิดเผยต่อว่า ในวันที่ 1 ม.ค.2560 ซึ่งเป็นวันที่สำนักพระราชวังงดการสักการะพระบรมศพ 1 วัน เนื่องจากเป็นวันขึ้นปีใหม่ ที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร จึงงดแจกอาหารเป็นการชั่วคราว และจะกลับมาแจกจ่ายอาหารให้กับประชาชนอีกครั้งในวันที่ 2 ม.ค.2560

ขณะที่เต็นท์หน่วยแพทย์พระราชทานและอาหารพระราชทาน ซึ่งตั้งอยู่ภายในท้องสนามหลวง ด้านทิศเหนือ ฝั่งศาลฎีกา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงห่วงใยในพสกนิกรที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงทรงมีรับสั่งให้จัดตั้งหน่วยแพทย์มาดูแลสุขภาพประชาชนเป็นประจำทุกวัน ต่อเนื่องจนครบ 100 วัน โดยวันนี้มีหน่วยแพทย์ พยาบาล และเภสัชกร จากโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และโรงพยาบาลตรัง รวม 19 คน มาให้บริการดูแลประชาชน นอกจากนี้ ได้พระราชทานข้าวหมูกระเทียม 500 กล่อง มาแจกจ่ายให้ประชาชนด้วย

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน