เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 28 ธ.ค. พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธารงค์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค7 รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจภูธรประจวบคีรีขันธ์ เป็นประธานในการแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุพยายามลักทรัพย์ ภายในตู้เอทีเอ็ม หน้าสำนักงานที่ดิน ด้วยวิธีการระเบิดตู้ แต่ทำการไม่สำเร็จ เนื่องจากมีพลเมืองดีขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบทำให้ติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้ภายใน 24 ชั่วโมง

โดยแถลงข่าวร่วมกับ พ.ต.อ.สิทธิชัย ศรีโสภาเจริญรัตน์ ผกก.สภ.หัวหิน, พ.ต.ท.เสมอ อยู่สำราญ รอง ผกก.สภ.หัวหิน, พ.ต.ท.ปฏิวัติ วิเชียร สารวัตรสืบสวน สภ.หัวหิน พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฎิบัติการพิเศษประจวบคีรีขันธ์ หรือ นปพ., สารวัตรตำรวจท่องเที่ยวหัวหิน และนายมนัสพงษ์ เปลี่ยนประดับ พลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์ และช่วยให้เจ้าหน้าที่จับกุมคนร้ายได้สำเร็จ ซึ่งได้มอบประกาศนียบัตรชื่นชมด้วย

พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธารงค์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค7 เปิดเผยว่า สำหรับคดีนี้เกิดเหตุ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2559 เวลาประมาณ 03.30 น.บริเวณตู้เอทีเอ็ม ธนาคารกรุงไทย หน้าสำนักงานที่ดินหัวหิน ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผู้ต้องหารายนี้คือ นายคอนสแตนติน โดลโกฟ อายุ 27 ปี ชาวรัสเซีย หมายเลขหนังสือเดินทาง 722620451 พร้อมของกลางเป็นรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนซ์เทา หมายเลขทะเบียน กค7900 ประจวบคีรีขันธ์ ที่นายคอนสแตนติน เช่ามาใช้ในการก่อเหตุ และนำไปจอดไว้จอดแอบไว้ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ที่เช่าพักก่อนหลบหนี

นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์เป็นชุดตัดสนามที่ประกอบด้วยถังแก๊ส และถังออกซิเจน พร้อมสายประกอบ, ผ้าเทปสีเทาที่คนร้ายใช้ปิดกล้องวงจรปิดหน้าตู้ ไม้ขีดไฟ พร้อมเสื้อยืดสีเทาลายขาวแดง ที่ใส่ก่อเหตุด้วยทั้งหมด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตามหมายจับของศาลจังหวัดหัวหิน ที่ จ.286/2559 ลง 27 ธันวาคม 2559 ก่อนหลบหนีออกนอกประเทศ วันที่ 27 ธันวาคม 2559 เวลาประมาณ 12.00 น. โดยตั้งข้อกล่าวหา “พยายามลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสาหรับคุ้มครองทรัพย์นั้น และใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทาความผิด”

สำหรับคดีนี้ที่สามารถดำเนินการจับกุมได้ทันก่อนคนร้ายหลบหนีออกนอกประเทศ สิ่งสำคัญคือพลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์แล้วรีบโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทาง 191 โดยมีพลเมืองดีชื่อ นายมนัสพงษ์ เปลี่ยนประดับ ซึ่งได้พบเห็นว่า มีเปลวไฟลุกขึ้นที่บริเวณตู้เอทีเอ็ม และชายหนึ่งคนกำลังใช้อุปกรณ์บางอย่างกับตู้ แต่เมื่อชายคนดังกล่าวเห็นว่าตนขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาใกล้และจอดเพื่อโทรศัพท์แจ้งตำรวจ จึงได้วิ่งหลบหนีขึ้นรถยนต์กระบะสีดำ หลบหนีเข้าไปภายในซอยหัวหิน 114 เมื่อเจ้าหน้าที่ตารวจชุดสืบสวน รับแจ้งและเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ก็พบร่องรอยการใช้อุปกรณ์งัดแงะที่ช่องจ่ายเงินพร้อมมีการต่อสายแก๊สพ่นเข้าช่องจ่ายเงินของตู้ และใช้เทปพันสายไฟสีดาปิดกล้องวงจรปิดหน้าไว้ โดยที่เกิดเหตุยังพบสายแก๊สยาวประมาณ 1 เมตร ตกอยู่

จากนั้นได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด กระทั่งพบรถยนต์กระบะต้องสงสัยตรงตามที่พลเมืองดีแจ้ง ขับไปจอดในโรงแรมแห่งหนึ่ง จึงเข้าตรวจสอบพบเป็นรถยนต์คันเดียวกับคันที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ เมื่อตรวจสอบทะเบียนรถยนต์กระบะคันดังกล่าวพบว่ามีนายเอกรินทร์ เกียรติปภาวงษ์ เป็นเจ้าของรถยนต์ แต่ให้การว่าได้ให้ นายคอนสแตนติน อายุ 27 ปี นักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย เป็นผู้เช่ารถไป

ต่อมาช่วงค่ำของวันที่ 27 ธันวาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งจากพลเมืองดีว่าพบมีชุดตัดสนามที่มีถังแก๊สพร้อมถังออกซิเจนสภาพใหม่ไปทิ้งไว้ริมชายป่าเขาหินเหล็กไฟ ลักษณะผิดปกติ จึงได้เข้าตรวจสอบพบว่าน่าจะเป็นอุปกรณ์ที่ นายคอนสแตนติน โดลโกฟ ใช้ก่อเหตุพยายามลักทรัพย์ที่ตู้เอทีเอ็ม แต่ไม่สำเร็จจึงนำมาทิ้งเพื่อทำลายหลักฐานก่อนจะหลบหนี

เวลา 01.50 น.ของวันที่ 27 ธันวาคม พ.ต.ท.ปฏิวัติ วิเชียร สารวัตรสืบสวน สภ.หัวหิน ได้ตรวจสอบพบว่า นายคอนสแตนติน กำลังจะหลบหนีออกไปต่างประเทศ จึงได้เร่งประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ปป.บก.ตม.2 ได้สอบสวนในระบบ Pibics พบว่า นายคอนสแตนตินใช้หนังสือเดินทางดังกล่าวผ่านการตรวจหนังสือเดินทางออกนอกประเทศ ในเวลาประมาณ 00.45 น. เที่ยวบินที่ FZ0522 ไปยังเมืองอัลมาติ ประเทศคาซัคสถาน โดยจะเดินทางออกที่ประตู F6 เวลา 02.35 น.จึงขอให้ เจ้าหน้าที่ (ชป. 2) กก.สส.ปป.บก.ตม. 2 ติดตามไปควบคุมตัวนายคอนสแตนติน ไว้ได้สำเร็จก่อนควบคุมตัวกลับมาสอบสวนต่อที่ สภ.หัวหิน

พล.ต.ต.ธนายุตม์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ผู้ต้องหามีความชำนาญและวางแผนมาเป็นอย่างดี ซึ่งอยู่ต่างประเทศรับว่าเป็นนักธุรกิจและเดินทางเข้าประเทศไทยเพื่อมาท่องเที่ยวในปีนี้รวมแล้ว 4 ครั้ง ได้วางแผนทั้งขั้นตอนการซื้ออุปกรณ์และจุดหลบหนี โดยยอมรับด้วยว่า ในเบื้องต้นตั้งใจใช้อุปกรณ์ดังกล่าวก่อเหตุในห้างสรรพสินค้าหรืออาคารขนาดใหญ่ ก่อเปลี่ยนใจมาก่อเหตุที่ตู้ หน้าสำนักงานที่ดินดังกล่าวเนื่องจากอยู่ในจุดเปลี่ยวในเวลากลางดึก และที่สำคัญกลวิธีที่ใช้ก่อเหตุมีความแปลกว่าคนร้ายทั่วไป ที่มักใช้วิธีการตัดเจาะตู้ แต่นายคอนสแตนอิน กลับใช้วิธีเจาะช่องรับเงินแล้วใช้ออกซิเจนและแก๊สอัดเข้าไปแล้วจุดไฟให้เกิดการระเบิด เพื่อจะได้ลักทรัพย์ภายในตู้ได้ แต่โชคดีที่ยังทำไม่สำเร็จ โดยหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่จะมีการปรับแผนในการดูแลความปลอดภัยมากขึ้นในพื้นที่จุดเปลี่ยวที่อยู่ห่างจากตัวเมืองด้วย

อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น นายคอนสแตนติน ให้การว่าเป็นผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ จริงและยอมรับผิดตลอดข้อกล่าวหา และขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลต่อไป

ทางด้าน นายมนัสพงษ์ เปลี่ยนประดับ พลเมืองดีกล่าวว่า ตนดีใจที่ได้ช่วยเหลือจนสามารถจับกุมคนร้ายได้สำเร็จ ถือว่าโชคดีมากที่วันเกิดเหตุตนต้องขี่จักรยานยนต์ไปรับแฟนที่ทำงาน และต้องขับผ่านบริเวณที่เกิดเหตุ กระทั่งสังเกตเห็นความผิดปกติ จากรถยนต์กระบะที่จอดอยู่ ด้านหน้าตู้เอทีเอ็ม ก่อนจะเป็นเปลวไฟลุกพรึ่บขึ้นมาและเมื่อชายที่ตู้เอทีเอ็ม เห็นว่าตนขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมา ได้รีบหลบหนีทันที ตนเห็นท่าไม่ดีรู้ว่าเป็นคนร้ายงัดตู้แน่ๆ จึงรีบโทรศัพท์แจ้งไปยัง สภ.หัวหิน ทันที

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน