เมื่อเวลา 07.08 น. วันที่ 31 ธ.ค. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมศพ ทรงกราบหน้าพระบรมโกศพระบรมศพ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่หน้าพระแท่นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องบูชากระบะมุกที่หน้าแท่นเตียงพระสวดพระอภิธรรม ทรงคม แล้วประทับพระราชอาสน์พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ

จากนั้นทรงประเคนภัตตาหารเช้าแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดสุทัศนเทพวรารามราชราชวรมหาวิหาร และวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่ค่ำวันที่ 30 ธ.ค. โดยมีหน่วยงานในกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และการไฟฟ้านครหลวง ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ต่อมาเวลา 10.30 น. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เป็นประธานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากนั้นถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดบวรนิเวศวิหาร และวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร โดยมีหน่วยงานในกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ กรมการปกครอง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และองค์การตลาด ร่วมเป็นเจ้าภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. หลังสำนักพระราชวังปิดการขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 02.00 น. วันที่ 31 ธ.ค. จากกำหนดเดิมเวลา 21.00 น. เนื่องจากยังมีประชาชนเข้าแถวรอกราบสักการะพระบรมศพเป็นจำนวนมาก โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 73,614 คน รวม 61 วัน มี 2,596,007 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 5,220,995 บาท รวม 61 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 207,821,060.25 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า วันนี้เป็นวันที่ 62 ที่มีพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชน เข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 05.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) ซึ่งสำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนกลุ่มแรกเข้าพระบรมมหาราชวังในเวลา 04.40 น.

จากนั้นเวลา 08.00 น. ได้เปลี่ยนให้เข้าทางประตูมณีนพรัตน์ เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมพระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดารามทางประตูวิเศษไชยศรี แม้จะเป็นวันสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นวันหยุดช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ แต่ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศยังคงหลั่งไหลเดินทางมาเฝ้ารอต่อคิว เพื่อเข้าสักการะพระบรมศพไม่ขาดสาย ภายหลังเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึก

นางอาภาพร อำนาจศาล อายุ 47 ปี และลูกสาว

นางอาภาพร อำนาจศาล อายุ 47 ปี ที่มาพร้อมกับลูกสาว กล่าวว่า เมื่อวานตนเดินทางจาก จ.สงขลา และพักค้าง 1 คืน ก่อนมาเข้าคิวสักการะพระบรมศพประมาณ 05.00 น. และได้ขึ้นกราบสักการะพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ประมาณ 13.20 น. ไม่คิดว่ารอนานเลย เพราะเราตั้งใจมาแล้ว นับเป็นบุญครั้งหนึ่งในชีวิตและภูมิใจมาก ตนไม่รู้ว่ารักพระองค์ตอนไหน ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นพระองค์ทรงงานหนักเพื่อประชาชนมาโดยตลอด ทำให้ตนรักพระองค์มากที่สุดในชีวิต

นายอนิรุทธ หัทยานนท์ อายุ 50 ปี

“ดิฉันเป็นคน จ.เชียงราย และย้ายไปอยู่สงขลาประมาณ 30 กว่าปีแล้ว เมื่อก่อนที่เชียงรายไม่มีเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำ แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่ได้พระราชทานโครงการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง ทำให้ชุมชนพัฒนาขึ้นมาก และอุดมสมบูรณ์ สามารถทำการเกษตรได้ ชาวบ้านก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดิฉันรู้สึกเสียดายมากที่ไม่เคยรับเสด็จ ดิฉันอธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าก็ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป” นางอาภาพร กล่าวด้วยความซาบซึ้ง

คณะครูและนักเรียนโรงเรียนพนมเบญจา จ.กระบี่

ส่วนนายอนิรุทธ หัทยานนท์ อายุ 50 ปี ครูโรงเรียนพนมเบญจา อ.เขาพนม จ.กระบี่ กล่าวว่า ตนเดินทางจาก จ.กระบี่ พร้อมคณะครูและนักเรียน รวม 36 คน โดยมาถึงสนามหลวงประมาณ 04.50 น. และได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพประมาณ 13.00 น. ตนเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกก็รู้สึกภูมิใจและดีใจมาก เพราะเป็นวันหยุดช่วงปีใหม่ ทำให้สามารถนัดรวมตัวกันมาได้ เพื่อจะมาส่งพระองค์ครั้งสุดท้าย และในวันพรุ่งนี้จะมาลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่ศาลาสหทัยสมาคม

นายอนิรุทธ กล่าวต่อว่า ตนรักในหลวง รัชกาลที่ 9 มากที่สุดในชีวิต พระองค์เปรียบเสมือนพ่อของคนไทยทั้งประเทศ พระองค์ทรงงานหนักเพื่อให้เรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ถ้าไม่มีพระองค์ เราคงอยู่กันอย่างลำบากและไม่มีเหมือนทุกวันนี้ได้

“พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของผม ตั้งแต่รับราชการเป็นครูก็ได้ยึดหลักทศพิธราชธรรมในการดำเนินชีวิต และน้อมนำพระราชดำรัสที่พระองค์เคยตรัสกับครูคนหนึ่งว่า เป็นครูใช่ไหม ขอฝากเด็กๆ ด้วยนะ ช่วยสอนให้เขาเป็นคนดี ซึ่งตนก็สอนให้นักเรียนยึดพระองค์เป็นแบบอย่าง ทั้งการน้อมนำพระบรมราโชวาทและพระราชจริยวัตรอันงดงามของพระองค์มาปรับใช้ ที่สำคัญคือการปลูกฝังให้นักเรียนมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ชาติ และศาสนา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ขอให้จงรักภักดีต่อพระองค์ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าอยู่หัวของเรา เมื่อตอนเป็นเด็กเคยมีโอกาสรับเสด็จในหลวง รัชกาลที่ 9 ทั้งหมด 3 ครั้ง คราวที่เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดดอนศาลา อ.ควนขนุน จ.พัทลุง นับเป็นบุญที่สุดในชีวิต นึกถึงครั้งใดก็รู้สึกตื้นตันและประทับใจไม่รู้ลืม” นายอนิรุทธ กล่าวด้วยความตื้นตัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศเหนือ เยื้องกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยรวมอยู่ภายในศูนย์อาหารบริการประชาชน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ นำอาหาร ขนม ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน

โดยแบ่งเป็นมื้อเช้าเวลา 07.00 น. ข้าวต้มไก่ 1,500 ถ้วย กาแฟสด 2,500 แก้ว นมหนองโพ 2,000 กล่อง, มื้อกลางวันเวลา 11.00 น. กะเพราไข่ดาว 1,500 จาน แกงเขียวหวานไก่ 1,500 จาน ข้าวเหนียวไก่ทอด 12,500 ชุด ขนมจีนน้ำยาปลา 2,000 ถ้วย, มื้อบ่ายเวลา 16.00 น. ขนมไทย 1,000 ชุด ของว่าง 1,000 กล่อง เฉาก๊วย 1,000 ถุง, มื้อเย็นเวลา 18.00 น. ผัดไทยเสวย 3,000 จาน โดยมีน้ำสมุนไพร 700 ลิตร และน้ำดื่มให้บริการประชาชนตลอดทั้งวัน

ขณะที่เต็นท์หน่วยแพทย์พระราชทาน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในท้องสนามหลวง ด้านทิศเหนือ ฝั่งศาลฎีกา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงห่วงใยในพสกนิกรที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงทรงมีรับสั่งให้มีหน่วยแพทย์พระราชทานมาดูแลสุขภาพประชาชนเป็นประจำทุกวัน ต่อเนื่องจนครบ 100 วัน โดยวันนี้มีหน่วยแพทย์ พยาบาล และเภสัชกร จากโรงพยาบาลวิชัยยุทธ รวม 16 คน มาตรวจรักษาและให้บริการทางการแพทย์

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า สำหรับวันที่ 1 ม.ค.2560 ตั้งแต่เวลา 07.30-17.00 น. สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง และงดการถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทางเต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเต็นท์หน่วยแพทย์พระราชทาน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จะงดให้บริการเป็นเวลา 1 วัน และจะกลับมาเปิดอีกครั้งในวันที่ 2 ม.ค. 2560

นอกจากนี้ ยังได้เปิดให้ประชาชนร่วมถวายพระพรตามพระตำหนักที่ประทับต่างๆ ตามต่างจังหวัดด้วย ได้แก่ 1.ภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ 2.ภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร 3.ทักษิณราชนิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส 4.พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 5.พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม 6.พระตำหนักประทับแรม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช 7.สำนักงานวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน