เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 84 การนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และถวายเป็นพระราชกุศล เป็นวันที่ 30

โดยในวันนี้ มีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

เวลา 07.00 น. นายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นประธานถวายภัตตาหารเช้าแด่พระพิธีธรรม จากวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร และมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ราชวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมพระบรมศพมาตั้งแต่ค่ำวานนี้ ซึ่งมีคณะผู้บริหาร และข้าราชการ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ

สำหรับบรรยากาศการเข้ากราบสักการะพระบรมศพ มีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศสวมชุดไว้ทกข์สุภาพเรียบร้อย มาต่อคิวเข้าแถวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้ามืด โดยเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบ ตั้งแต่เวลา 04.40 น. ทั้งนี้ พสกนิกรที่มากราบสักการะพระบรมศพทุกคน จะได้รับแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พิมพ์ 4 สี ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 08.30 น. พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ โปรดให้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง นำเข็มกลัดโบว์สีดำไว้ทุกข์ตรงกลางติดเหรียญบาท ด้านหลังปลายริบบิ้นติดป้ายสีขาวมีข้อความ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ จำนวน 5,000 ชิ้น มาแจกจ่ายให้กับประชาชนที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่บริเวณด้านหน้าประตูศรีสุนทร ในพระบรมมหาราชวัง สร้างความปลื้มปิติให้แก่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง

นางคำแพง ปุ่นทอง อายุ 62 ปี พสกนิกรจาก จ.เชียงราย เดินทางมาพร้อมลูกพี่ลูกน้อง นางสปัน ทัศนพยัคฆ์ อายุ 68 ปี พร้อมด้วยเพื่อนชาวต่างชาติจากประเทศอังกฤษ นายเควิน บิ๊กช๊อบ อายุ 67 ปี กล่าวทั้งน้ำตาพร้อมยกมือไหว้ หลังเข้ากราบสักการะพระบรมศพ ว่า เป็นบุญจริงๆ ที่ได้มีโอกาสเข้ากราบสักการะพระบรมศพ ในใจได้นึกถึงพระองค์ตลอดเวลา เมื่อเห็นพระบรมโกศน้ำตาก็ไหลทันที บอกไม่ถูกว่าทำไม เป็นความรู้สึกที่คนไทยเหมือนกันจะเข้าใจดี โดยเพื่อนต่างชาติที่มาด้วยกันเพิ่งเดินทางมาถึงประเทศไทยเมื่อวานนี้ เพราะอยากเข้ามากราบสักการะพระบรมศพ ทั้งนี้เมื่อมาถึงบริเวณสนามหลวงได้เดินแล้วเกิดหกล้ม มีอาการปวดสะโพก เดินไม่ไหว จึงต้องนั่งรถเข็น โดยบอกว่าเขาเข้าใจความรู้สึกคนไทยดี และเขาก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน

นางคำแพง นางสปัน และนายเควิน

ด้าน นางสปัน กล่าวว่า ตนเป็นคนเชียงราย พาเพื่อนต่างชาติไปท่องเที่ยวที่ดอยช้าง จ.เชียงราย ซึ่งสมัยก่อนไม่ได้ขึ้นไปง่ายๆ แบบสมัยนี้ แต่ในหลวง ร.9 เสด็จฯ เข้าไปช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยภูเขา ที่แม้ว่าบางคนยังไม่มีเสื้อใส่ หรือพูดคนละภาษา แต่พระองค์ก็ไม่เคยทอดทิ้ง ช่วยเหลือจนทำให้พวกเขามีอาชีพ อยู่กับธรรมชาติได้อย่างมีความสุข ประเทศไทยโชคดีจริงๆ ที่มีพระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์

 

นางศิริมา บูชาวัง เดีรยช์ ชาวไทยในต่างแดนวัย 61 ปี ประกอบอาชีพผู้ช่วยพยาบาล เดินทางจากประเทศออสเตรียมาพำนักที่บ้านน้องสาว น.ส.สุนทร บูชาวัง อายุ 54 ปี ที่ จ.สมุทรปราการ ก่อนเดินทางโดยรถโดยสารมาตั้งแต่เวลา 05.00 น. และได้ขึ้นสักการะพระบรมศพเวลา 13.30 น. กล่าวว่า ตั้งรกรากและสร้างครอบครัวที่ประเทศออสเตรียมาหลายปี ทราบข่าวการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีความตั้งใจอยากมากราบสักการะพระบรมศพสักครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรก เมื่อได้ขึ้นไปกราบเบื้องหน้าพระบรมโกศรู้สึกปลาบปลื้มและตื้นตันใจ จนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก ก่อนเดินทางกลับประเทศออสเตรียเดือน มี.ค.นี้ อยากจะมากราบสักการะอีกสักครั้ง

นางศิริมา บูชาวัง เดีรยช์ ชาวไทยในต่างแดนวัย 61 ปี

“เสียดายไม่เคยชื่นชมพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9 เลยสักครั้ง แต่ยังมีบุญวาสนาได้เข้าเฝ้าฯ รับเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ประเทศออสเตรีย ครั้งนั้นเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์และทางสถานทูตได้แจ้งคนไทยในต่างแดนได้มาเฝ้าฯ รับเสด็จ พระองค์มีรับสั่งถามถึงสารทุกข์สุกดิบกับประชาชนอย่างไม่ถือพระองค์เลย ส่วนสามีเป็นชาวออสเตรเลียรักและเทิดทูนในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่าเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่และทำแต่สิ่งดีๆ ให้กับประชาชน ซึ่งเขารู้จักในหลวงรัชกาลที่ 9 ก่อนพบรักกับตัวเองอีก นับได้ว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่คนต่างชาติทั่วโลกยกย่อง” นางศิริมา กล่าว

นายประเสริฐ ชัยกาญจนาศักดิ์ อายุ 75 ปี และนางจิตรา วัย 72 ปี

นายประเสริฐ ชัยกาญจนาศักดิ์ อายุ 75 ปี เดินทางมาพร้อมกับภรรยา นางจิตรา วัย 72 ปี จากบ้านพักย่านพระโขนง กทม. กล่าวว่า ตั้งใจจะมากราบสักการะพระบรมศพนานแล้ว พอเมื่อวานได้ข่าวว่าคนไม่มากนัก จึงรีบเตรียมความพร้อมทางร่างกาย และเตรียมเสื้อผ้าเพื่อเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพในวันนี้ แต่เมื่อมาถึงคนก็ไม่ได้น้อยอย่างที่คิด โดยใช้เวลาเข้าแถวประมาณ 6 ชั่วโมง

2 พี่น้องชาวลาวจากเมืองสะหวันนะเขต

“ผมเรียนจบคณะบัญชี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นนักเรียนดีเด่นในรุ่นนั้นด้วย ตอนที่เรียนธรรมศาสตร์ผมมีโกาสได้รับเสด็จฯ พระองค์ท่านหลายครั้งขณะมาทรงดนตรี อีกทั้งตอนที่รับปริญญาเมื่อปี พ.ศ.2508 ผมยังได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ในหลวง ร.9 ด้วยซึ่งครั้งนั้นเป็นครั้งเดียว ที่มีการจัดงานพระราชทานปริญญาบัตรภายในพระตำหนักสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต นับเป็นความภูมิใจที่สุดในชีวิต ทุกวันนี้ผมจึงดำเนินรอยตามพระองค์ท่านมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ทุกวันนี้ครอบครัวผมมีกินเงินทองมาก แต่ก็ใช้ตามที่สมควรเท่านั้น ทั้งยังแบ่งปันช่วยเหลือคนอื่นๆ ด้วย” สองสามีภรรยา กล่าว

ชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยง

ด้าน 2 พี่น้องชาวลาวจากเมืองสะหวันนะเขต น.ส.แดง ภูมี วัย 35 ปี เดินทางมาจากบ้านพักย่านบางนา กทม. พร้อมกับน้องสาว น.ส.รุ่งนภา ภูมี วัย 29 ปี เปิดเผยว่า ตนเองมาทำงานอยู่ในประเทศไทยราว 20 ปี ประกอบอาชีพช่างเสริมสวย โดยตั้งใจว่าจะมากราบสักการะพระบรมศพนานแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสวันนี้เพราะเจ้าของร้านให้หยุดงาน

“ดิฉันย้ายจากประเทศลาวมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในหลวง ร.9 ตั้งแต่ตัวเองอายุ 15 ปี จนมามีครอบครัวอยู่ที่ประเทศไทย ถึงแม้จะมีโอกาสเห็นพระองค์ท่านแค่ในโทรทัศน์ แต่ก็รักพระองค์ท่านเพราะทรงงานหนักเพื่อช่วยเหลือประชาชนมาตลอด หลายครั้งที่เห็นข่าวก็ยังอดน้ำตาไหลไม่ได้ ส่วนที่บ้านพักก็มีรูปพระองค์ท่านเก็บไว้กราบไหว้เสมอ พร้อมตั้งใจว่าจะเป็นคนดีและไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน” น.ส.แดง กล่าว

นางหน่องริด ศรีพรรัตนไตร ชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยง อายุ 42 ปี ต.แม่โถ อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า ทาง อบต.ห้วยฮ่อม จ.แม่ฮ่องสอน ได้คัดเลือกตัวแทนแต่ละหมู่บ้านมีทั้งชาวเขาเผ่าต่างๆ อาทิ กะเหรี่ยง มูเซอ ไทใหญ่ และคนพื้นเมืองกว่า 700 คน เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพในวันนี้ สำหรับหมู่บ้านตนได้เดินทางมา 3 คน รู้สึกซาบซึ้งใจมาก ที่ประเทศไทยของเรามีพระมหากษัตริย์ที่ใจดีและเต็มเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาต่อชาวไทยภูเขา โดยพระองค์สอนให้เราพอเพียง ให้มีกินไว้ก่อน ที่เหลือจึงนำไปขาย ปัจจุบันตนมีอาชีพปลูกข้าวไร่และปลูกผักเลี้ยงครอบครัว

ที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศเหนือ เยื้องกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยรวมอยู่ภายในศูนย์อาหารบริการประชาชน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ นำอาหาร ขนม ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน โดยแบ่งเป็นมื้อเช้าเวลา 07.00 น. ประกอบด้วย ข้าวแกงส้มไข่ปลา 1,500 จาน, กาแฟสด 2,500 แก้ว, นมหนองโพ 2,000 กล่อง, มื้อกลางวัน เวลา 11.00 น. ประกอบด้วย ยำขนมจีนไก่แซบ 1,000 จาน, ข้าวผัดมันกุ้งและไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ 1,000 จาน, ข้าวหมูผัดกะปิ 1,000 จาน, และข้าวน่องไก่จำนวนหนึ่ง

มื้อบ่าย 16.00 น. ประกอบด้วย ขนมไทย 1,000 กล่อง, ข้าวเหนียวหมูทอด-ไก่ทอด 1,000 ชุด, เฉาก๊วยชากังราว 1,000 ถุง และมื้อเย็นเวลา 18.00 น. ประกอบด้วย ข้าวหมูทอดเจ้าจง 1,000 กล่อง, บะหมี่หมูแดง 500 ชาม, ลาบทอด 500 ชุด, สลัดไฮโซ และไข่พระอาทิตย์ 1,000 ชุด, สลัดคลุกและแซนวิช 500 ชุด และน้ำดื่มสมุนไพร 700 ลิตร และน้ำดื่มจิตรลดาให้บริการประชาชนตลอดทั้งวัน

ขณะที่เต็นท์หน่วยแพทย์พระราชทาน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณท้องสนาม ฝั่งทิศเหนือ บริเวณทางเข้าที่ประชาชนจะเดินเข้ามารอภายในเต็นท์ก่อนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พร้อมด้วย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงห่วงใยในพสกนิกรที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีรับสั่งให้มีหน่วยแพทย์พระราชทาน มาดูแลสุขภาพประชาชนเป็นประจำทุกวัน ต่อเนื่องจนครบ 100 วัน โดยวันนี้มีหน่วยแพทย์ พยาบาล และเภสัชกร จากโรงพยาบาลธนบุรี 12 คน และโรงพยาบาลหนองคาย 5 คน มาให้บริการดูแลประชาชนตลอดทั้งวัน

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน