เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 85 การนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายเป็นพระราชกุศล เป็นวันที่ 31

โดยในวันนี้มีหน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล โรงพยาบาลบ้านแพ้ว กรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ องค์การเภสัชกรรม เขตสุขภาพที่ 5 เขตสุขภาพที่ 6 เขตสุขภาพที่ 7 เขตสุขภาพที่ 8 สังกัดกระทรวงสาธารณสุข คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมเป็นเจ้าภาพพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

เวลา 07.00 น. ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา เป็นประธานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทถวายภัตตาหารเช้าแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร และวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่ค่ำวันที่ 5 ม.ค. ในการนี้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เป็นเจ้าภาพร่วมบำเพ็ญกุศลพระบรมศพ

จากนั้นเวลา 10.30 น. ศ.คลินิก นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข เป็นประธานถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรม จำนวน 8 รูป จากวัดราชสิทธารามราชวรวิหาร และวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร โดยมี สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล โรงพยาบาลบ้านแพ้ว เป็นเจ้าภาพร่วมบำเพ็ญกุศลพระบรมศพ

สำหรับบรรยากาศการเข้ากราบสักการะ มีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศสวมชุดไว้ทกข์สุภาพเรียบร้อย มาต่อคิวเข้าแถวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้ามืด โดยเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบ ตั้งแต่เวลา 04.50 น. ทั้งนี้ พสกนิกรที่มากราบสักการะพระบรมศพทุกคน จะได้รับแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พิมพ์ 4 สี ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

นายเวียน วงศา อายุ 73 ปี พสกนิกรจาก จ.สุรินทร์ เดินทางมาโดยรถโดยสารประจำทางพร้อมลูกสาวและหลานสาวทั้งหมด 6 คน เปิดเผยว่า ตนมีอาชีพเป็นเกษตรกร ทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ แบบไม่ใช้สารเคมี เพราะดำเนินชีวิตอาชีพตามแนวพระราชดำริในหลวง ร.9 ให้พอมีพอกิน ทำเองใช้เอง มีเหลือแจกจ่ายให้ญาติพี่น้อง เลี้ยงลูกจนจบปริญญาทั้ง 8 คน ชีวิตมีความสุขดี เราโชคดีที่มีพระองค์ท่านเป็บแบบอย่างให้ดำเนินรอยตาม พระองค์เต็มเปี่ยมไปด้วยพระอัจฉริยภาพอย่างยิ่ง

นายเวียน เล่าให้ฟังถึงความประทับใจที่ได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพว่า เมื่อก้าวเข้าสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตนมีความตื้นตันใจอย่างมาก เมื่อได้ก้มกราบศีรษะแตะที่พื้น ขนที่หัวก็ลุกขึ้นทันที เพราะสิ่งที่พระองค์ทำมาตลอดชีวิตเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นใครทำมาก่อน พระองค์ทำเพื่อปวงชนชาวไทย ไม่แบ่งแยก อาชีพเกษตรกรซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนไทย ทรงทำให้พวกเรายังคงมีอาชีพของตนเองตราบชั่วลูกชั่วหลาน ส่วนตัวสมัยหนุ่มๆ เคยเฝ้ารับเสด็จฯ ในหลวงร.9 เสด็จฯ พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาที่ศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ และอำเภอรัตนบุรี จ.สุรินทร์ ตนอยู่ห่างเพียง 1 เมตร ได้ก้มกราบทั้ง 2 พระองค์ ยังเป็นความรู้สึกตื้นตันใจมาจนถึงทุกวันนี้

นายเวียน วงศา อายุ 73 ปี และครอบครัว

น.ส.สุนิสา พารหาร อายุ 28 ปี พร้อมด้วย น.ส.ชลิตวรรณ อุปะเก อายุ 24 ปี สองพยาบาลจากโรงพยาบาลมหาสารคาม เดินทางมาพร้อมคณะชาวบ้านที่เดินทางเข้ามาสักการะพระบรมศพ 7 คันรถบัส เผยว่า วันนี้มีหน้าที่ดูแลชาวบ้านส่วนมากเป็นผู้สูงอายุ โดยนั่งรถกันมานานส่วนมากจะมีอาการหน้ามืด วิงเวียนเล็กน้อย แต่ไม่มีอาการเจ็บป่วยรุนแรง เพราะส่วนมากเตรียมตัวกันมาพร้อมรอเข้ากราบสักการะพระบรมศพอย่างดี โดยวันนี้ถือว่าโชคดีที่อากาศดี และรอไม่นานมาก

น.ส.สุนิสา พารหาร อายุ 28 ปี และน.ส.ชลิตวรรณ อุปะเก อายุ 24 ปี

“วันนี้ถือโอกาสมาเข้ากราบสักการะพระบรมศพด้วย รู้สึกปลื้มใจมากๆ ในฐานะคนไทยเราได้มากราบพระองค์ท่านสักครั้งในชีวิต ทรงมีพระราชกรณียกิจมากมายที่ทำให้ประชาชนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่ท้อแท้ ตัวเองเป็นคนมหาสารคามตั้งแต่กำเนิด เมื่อก่อนเป็นพื้นที่แห้งแล้งมาก พระองค์ก็มาทำฝนเทียมให้อุดมสมบูรณ์ สอนพสกนิกรทำการเกษตรพอเพียง ให้มีความสุขอย่างยั่งยืน เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่มหาสารคามมักจะบอกเล่าให้ลูกหลานฟังถึงพระมหากรุณาธิคุณ กันรุ่นต่อรุ่น” น.ส.สุนิสา กล่าว

ด้าน น.ส.ชลิตวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเองทำหน้าที่เป็นพยาบาล เวลาปฏิบัติงานจะนึกถึงเรื่องที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทำงานด้วยความเอาใจใส่ทุกอย่าง ทุกเรื่องทรงมีความตั้งใจทำเพื่อประชาชน ซึ่งตัวเองก็นำมาปรับใช้เริ่มจากรู้จักหน้าที่ของตัวเอง รับผิดชอบ และทำด้วยความตั้งใจ ใส่ใจ มีความอดทน เพื่อประโยชน์แก่ผู้ป่วยอย่างถึงที่สุด

ขณะที่ นางวรรยา บุญขวาง คุณครูโรงเรียนโสตศึกษา จ.ชลบุรี พร้อมคณะครู-นักเรียน จำนวน 26 คน กล่าวว่า เดินทางออกมาจากจ.ชลบุรี แล้วมาถึงที่สนามหลวงก่อน 05.00 น. ด้วยความตั้งใจอยากมากราบพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยในฐานะของการเป็นประชาชนคนไทยและคุณครูในโรงเรียนโสตฯ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงไม่ทอดทิ้งเด็กๆ ผู้พิการ ทรงให้ความสำคัญเรื่องการศึกษา โดยทางโรงเรียนได้ให้นักเรียนเรียนผ่านการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (ไกลกังวล) โดยมีคู่มือของครูเพื่อให้สอนนักเรียนด้วย

นอกจากนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงให้การดูแลพวกเราอย่างต่อเนื่อง เสด็จมาเยี่ยมและทรงคอยให้ติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการสปีช วีฟเวอร์ ให้เด็กผู้บกพร่องทางการได้ยินซึ่งยังมีความเป็นไปได้ที่จะได้ยินฝึกหัดการพูด รวมถึงโครงการผ่าตัดประสาทหูเทียมให้แก่เด็กนักเรียนที่ขาดทุนทรัพย์ ทางโรงเรียนดำเนินตามหลักคำสอนของท่าน เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงด้วย หลังจากนี้ไม่มีพระองค์ท่านแล้ว แต่อยากให้ทรงช่วยปกปักรักษาคุ้มครองชาวไทยให้มีความสุขเจริญรุ่งเรือง

นายศุภเชษฐ พัดเกิด นักเรียนชั้นม.6 โรงเรียนโสตศึกษา กล่าวว่า ได้รับรู้เรื่องราวของในหลวง ร.9 ผ่านการอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ และอินเทอร์เน็ต เห็นพระองค์ทรงงานหลายอย่างเพื่อคนไทยทั้งเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง การปลูกข้าว เลี้ยงปลา และการทำเกษตรอินทรีย์ เพราะที่บ้านก็ทำการเกษตร โดยเรานำสิ่งเหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องการใช้จ่าย ใช้น้ำ-ไฟ น้ำมัน อย่างประหยัด รวมถึงได้ตั้งจิตจะเป็นเด็กดี ช่วยเหลือสังคม และตั้งใจเรียน แม้หลังจากจบม.6 อาจไม่ได้เรียนต่อปริญญาตรีทันที เพราะอยากจะทำงานก่อนเพื่อหาเงินมาเป็นทุนและช่วยเหลือครอบครัว ไม่ให้เป็นภาระของพ่อแม่และสังคม

นายพงศ์พณิช อินทรีย์ นักเรียนชั้นม.3 โรงเรียนโสตศึกษาชลบุรี เป็นนักเรียนผู้บกพร่องทางการได้ยิน บอกเล่าความรู้สึกผ่านภาษามือภายหลังได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพ ว่า ภายหลังที่ตนได้ทราบข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2559 ตนรู้สึกเสียใจมากที่สูญเสียพระองค์ เพราะตนก็ได้เป็นเด็กนักเรียนที่ได้ซึมซับเรื่องราวของพระองค์มาตลอด ผ่านการเรียนการสอบของโรงเรียนทั้งเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักธรรมคำสอนต่างๆ ส่วนในวันนี้ตนรู้สึกภูมิใจมากที่ได้เข้าถวายสักการะ และหลังจากวันนี้แล้วตนจะจดจำและนำประสบการณ์ไปบอกต่อเพื่อนๆ หน้าชั้นเรียน เพราะมีหลายคนอยากมาแต่ไม่มีโอกาส

“ผมอยากบอกคนไทยว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของการให้ในทุกรูปแบบ รวมถึงเป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชนในการเป็นพ่อที่ดีของลูกๆ และอยากคุณพ่อทุกคนยึดตามแบบอย่างที่ดีนั้นไว้เช่นกัน” นายพงศ์พณิช กล่าว

สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 5 ม.ค. หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ให้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 00.40 น. จากกำหนดเดิมเวลา 21.00 น. เนื่องจากยังมีประชาชนเข้าแถวรอกราบสักการะพระบรมศพในมณฑลพิธีสนามหลวงเป็นจำนวนมาก ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 40,970 คน รวม 66 วัน มี 2,863,889 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 4,712,070.75 บาท รวม 66 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 233,176,043.25 บาท

ที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศเหนือ เยื้องกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยรวมอยู่ภายในศูนย์อาหารบริการประชาชน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ นำอาหาร ขนม ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน โดยแบ่งเป็นมื้อเช้าเวลา 07.00 น. ประกอบด้วย ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู 1,500 ถ้วย, กาแฟสด 2,500 แก้ว, นมหนองโพ 2,000 กล่อง, มื้อกลางวัน เวลา 11.00 น. ประกอบด้วย ก๋วยจั๊บเครื่องยาจีนน้ำข้น 1,000 จาน, ข้าวผัดคั่วกลิ้งไก่เบอร์เกอร์ 1,000 จาน, ไก่เปรี้ยวหวานเสาวรสราดข้าว 1,000 จาน, แกงเผ็ดหมูหน่อไม้ราดข้าว 1,000 จาน

มื้อบ่าย 16.00 น. ประกอบด้วย ขนมไทย 1,000 กล่อง, สแน็กบ๊อก 1,000 กล่อง,เฉาก๊วยชากังราว 1,000 ถุง และมื้อเย็นเวลา 18.00 น. ประกอบด้วย ข้าวหน้าไก่ 1,500 จาน, ราดหน้า 1,500 จาน และน้ำดื่มสมุนไพร 700 ลิตร และน้ำดื่มจิตรลดาให้บริการประชาชนตลอดทั้งวัน

ขณะที่เต็นท์หน่วยแพทย์พระราชทาน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณท้องสนาม ฝั่งทิศเหนือ บริเวณทางเข้าที่ประชาชนจะเดินเข้ามารอภายในเต็นท์ก่อนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พร้อมด้วย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงห่วงใยในพสกนิกรที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีรับสั่งให้มีหน่วยแพทย์พระราชทาน มาดูแลสุขภาพประชาชนเป็นประจำทุกวัน ต่อเนื่องจนครบ 100 วัน

โดยวันนี้มีหน่วยแพทย์ พยาบาล และเภสัชกร จากโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ 15 คน และโรงพยาบาลหนองคาย 5 คน มาให้บริการดูแลประชาชนตลอดทั้งวัน โดยวันนี้ผู้ที่มาเข้ารับการรักษาที่เต๊นท์ส่วนใหญ่ป่วยเป็นไข้หวัด น้ำมูกไหล เนื่องด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวน และผู้ที่มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเล็กๆน้อยๆสำหรับอาหารพระราชทานวันนี้เป็นข้าวไก่กระเทียม 500 กล่อง พร้อมน้ำดื่ม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน