เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 8 ม.ค. ในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 87 นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เป็นประธานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

จากนั้นถวายภัตตาหารเช้าแด่พระพิธีธรรมจากวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร และวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่ค่ำวันที่ 7 ม.ค. โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ, สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ต่อมาเวลา 10.30 น. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากนั้นถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร และวัดอนงคารามวรวิหาร ที่สวดพระอภิธรรม ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยมีกรุงเทพมหานครร่วมเป็นเจ้าภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 7 ม.ค. หลังสำนักพระราชวังปิดการขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 21.30 น. ว่า มีจำนวน 44,278 คน รวม 68 วัน มีจำนวน 2,955,877 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 3,896,816 บาท รวม 68 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 240,703,816.50 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า วันนี้เป็นวันที่ 69 ที่มีพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 05.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) ซึ่งสำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนกลุ่มแรกเข้าพระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรีในเวลา 04.50 น. จากนั้นเวลา 08.00 น. ได้เปลี่ยนให้เข้าทางประตูมณีนพรัตน์ เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดารามทางประตูวิเศษไชยศรี โดยประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาเฝ้ารอต่อคิวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพจำนวนมาก ภายหลังเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึก

นายบุญเริง รวมสันเทียะ อายุ 53 ปี และนางสมหมาย รวมสันเทียะ อายุ 46 ปี ชาว ต.หนองสรวง อ.ขามทะเลสอ จ.นครราชสีมา สองสามีภรรยา กล่าวร่วมกันว่า เมื่อทราบข่าวว่าพระองค์สวรรคต พวกเราก็รู้สึกเสียใจมาก ทาง อบต.หนองสรวง ก็ร่วมกับชาวบ้านจัดงานทำบุญและสวดมนต์เป็นเวลา 1 เดือน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล วันนี้พวกตนกับญาติพี่น้องและคนในหมู่บ้าน รวม 44 คน จึงเหมารถบัสเดินทางมาสักการะพระบรมศพ โดยออกจากบ้านเมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 7 ม.ค. และมาถึงสนามหลวงเวลา 01.00 น. ก่อนได้เข้าสักการะประมาณ 11.00 น. พวกตนเป็นชาวไร่ชาวนา ไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนไกลๆ หากไม่รวมตัวกันคนอื่น คงไม่มีโอกาสได้มาสักการะพระบรมศพ เมื่อได้เข้าไปก็รู้สึกดีใจมากและถือว่าชีวิตคุ้มค่าแล้ว ถ้ามีโอกาสก็อยากจะมาอีก

“พวกเรารักในหลวง รัชกาลที่ 9 มาก พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดีมาก และทรงมีพระอัจฉริยภาพในทุกด้าน หากเป็นคนทั่วไปก็อาจทำงานได้เพียงแค่หน้าที่ของตน แต่พระองค์ทรงงานหนักเพื่อประชาชน โดยไม่นึกถึงพระองค์เอง โครงการพระราชดำริต่างๆ ก็ส่งผลให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ครอบครัวของพวกเราก็ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต โดยอยู่อย่างพอมีพอกิน ปลูกผักไว้ขายและส่วนหนึ่งเก็บไว้กินเอง รวมถึงการทำปุ๋ยหมักชีวภาพไว้ใช้ในไร่นา โดยไม่ต้องไปซื้อ” สองสามีภรรยากล่าวอย่างซาบซึ้ง

นายบุญเริง รวมสันเทียะ อายุ 53 ปี และนางสมหมาย รวมสันเทียะ อายุ 46 ปี

ด้านนางกรวิกา แจนโกนดี อายุ 29 ปี ชาว จ.สกลนคร ที่เดินทางมากับสามี กล่าวว่า ตนมาทำงานในกรุงเทพฯ และอาศัยอยู่แถวลาดกระบัง ครั้งนี้ก็มาสักการะเป็นครั้งที่ 3 แล้ว หากมีโอกาสก็จะมาอีกเรื่อยๆ เพราะตนรักพระองค์มาก ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมาย โดยเสด็จพระราชดำเนินไปช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศไทย เสียดายที่ไม่เคยได้รับเสด็จและไม่เคยเห็นพระองค์จริงเลย จึงต้องการมาสักการะพระบรมศพ และน้อมส่งพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้

นางกรวิกา แจนโกนดี อายุ 29 ปี ชาว จ.สกลนคร และสามี

นางกรวิกา กล่าวต่อว่า ทุกครั้งที่มาก็เห็นประชาชนมาสักการะพระบรมศพจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ก็เอาใจใส่และให้บริการดีมาก รวมถึงคนที่นำอาหารและเครื่องดื่มมากแจกจ่าย ทำให้ตนรู้สึกปลาบปลื้มและประทับใจที่คนไทยร่วมใจกันทำเพื่อในหลวง รัชกาลที่ 9 พระองค์พระราชทานคำสอนที่ดีมากมายให้ประชาชน และมีพระราชจริยาวัตรอันงดงามให้ประชาชนเจริญรอยตาม ส่วนตัวก็น้อมนำความอดทน ความมุมานะ และความขยันหมั่นเพียร ที่สำคัญคือตวามกตัญญู มาใช้ในการดำเนินชีวิต ตนรู้สึกโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยและอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทย

สมาชิกสถาบันพลังจิตตาสุภาพ จ.ร้อยเอ็ด

ขณะที่นางชุติพันธ์ หาญประสิทธิ์คำ อายุ 58 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ด ในฐานะกรรมการวัดวิมลนิวาส จ.ร้อยเอ็ด นำคณะสมาชิกสถาบันพลังจิตตาสุภาพ สาขา 83 วัดวิมลนิวาส จ.ร้อยเอ็ด กว่า 50 คน เหมารถบัสโดยสารเดินทางมานั่งวิปัสนาที่วัดธรรมมงคล สุขุมวิทซอย 101 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2560 ก่อนเตรียมความพร้อมมาสักการะพระบรมศพวันนี้

โดยนางชุติพันธ์กล่าวด้วยความตื้นตันใจว่า สมัยก่อนพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด แร้นแค้น จนเรียกกันว่า “ทุ่งกุลาร้องไห้” เพาะปลูกทำการเกษตรไม่ได้ผล กระทั่งในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระเมตตาใส่พระราชหฤทัยในความเดือดร้อนของชาวร้อยเอ็ด มีพระราชดำริจัดการเรื่องน้ำชลประทาน ทำให้ชาวเกษตรกรได้ลืมตาอ้าปากปลูกพืชไร่ทำนาข้าวได้ผลผลิตดี ปัจจุบันยังเป็นพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย และกลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อของจังหวัด

“นอกจากพวกเราจะมากราบสักการะพระบรมศพ ด้วยน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแล้ว ระหว่างวันที่ 16-20 ม.ค.นี้ ซึ่งตรงกับวันสวรรคตครบ 100 วัน ทางสถาบันได้จัดกิจกรรมสวดมนต์หลักสูตรครูสมาธิ เชิญชวนประชาชนที่ประกอบอาชีพครู ข้าราชการ มานั่งสมาธิเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ซึ่งข้อดีของการนั่งสมาธิจะทำให้มีสติคอยเตือนตน มีเหตุผลในการครองชีวิตโดยไม่ประมาท” นางชุติพันธุ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. เกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่มีพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เจ้าหน้าที่จึงให้ประชาชนหยุดแถวรอภายในระเบียงคดของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จากนั้นประมาณ 30 นาที ฝนได้หยุดตกประกอบกับเสร็จสิ้นพระราชพิธีในช่วงเช้าแล้ว เจ้าหน้าที่จึงปล่อยแถวประชาชนให้ขึ้นกราบสักการะพระบรมศพ

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ที่เต็นท์หน่วยแพทย์พระราชทาน ซึ่งตั้งอยู่ภายในท้องสนามหลวง ด้านทิศเหนือ ฝั่งศาลฎีกา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงห่วงใยในพสกนิกรที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงทรงมีรับสั่งให้มีหน่วยแพทย์พระราชทานมาดูแลสุขภาพประชาชนเป็นประจำทุกวัน ต่อเนื่องจนครบ 100 วัน โดยวันนี้มีหน่วยแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ จากโรงพยาบาลธนบุรี จำนวน 15 คน และโรงพยาบาลจันทบุรีจำนวน 7 คน มาตรวจรักษาและให้บริการทางการแพทย์

ส่วนที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศเหนือ เยื้องกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยรวมอยู่ภายในศูนย์อาหารบริการประชาชน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ นำอาหาร ขนม ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน โดยแบ่งเป็นมื้อเช้าเวลา 07.00 น. ข้าวมันไก่ทอด 1,500 จาน กาแฟสด 2,500 แก้ว นมหนองโพ 2,000 กล่อง

มื้อกลางวันเวลา 11.00 น. ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่น้ำใสโบราณ 1,000 ชาม ข้าวอบปลาสามรสราดซอส 1,000 จาน ไก่ทอดผัดกะเพรา 1,000 จาน สตูหมูผักสามสี 1,000 ชาม ข้าวผัดน้ำพริกปลาทู 1,000 ชาม ราดหน้าหมู 2,000 ชาม มื้อบ่ายเวลา 16.00 น. ขนมไทย 1,000 กล่อง ข้าวเหนียวหมู-ไก่ทอด 1,000 ห่อ เฉาก๊วย 1,000 ถุง

มื้อเย็นเวลา 18.00 น. ข้าวหมูแดง 2,000 ชุด ข้าวจี่ไฮโซ 2,000 ก้อน เฉาก๊วย 2,000 ชุด น้ำพันช์และชาเขียว 600 ขวด โดยมีน้ำดื่มสมุนไพร 700 ลิตร และน้ำดื่มให้บริการประชาชนตลอดทั้งวัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน