เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 88 การนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายเป็นพระราชกุศล เป็นวันที่ 34

โดยในวันนี้มีหน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย คณะผู้ว่าราชการ ข้าราชการ พนักงาน จากจังหวัดต่างๆ ประกอบด้วย จังหวัดชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง ตากพิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร อุทัยธานี สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และข้าราชบริพารในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ร่วมเป็นเจ้าภาพพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

เวลา 07.00 น. นายอวยชัย อินทร์นาค ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ถวายภัตตาหารแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร และวัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่ค่ำวันที่ 8 ม.ค. ในการนี้ คณะผู้ว่าราชการ ข้าราชการ พนักงาน จากจังหวัดชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง เป็นเจ้าภาพร่วมบำเพ็ญกุศลพระบรมศพ

จากนั้นเวลา 10.30 น. นายธนาคม จงจิระ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เป็นประธานถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรม จำนวน 8 รูป จากวัดราชสิทธารามราชวรวิหาร และวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร โดยมี คณะผู้ว่าราชการ ข้าราชการ พนักงาน จากจังหวัดตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร อุทัยธานี เป็นเจ้าภาพร่วมบำเพ็ญกุศลพระบรมศพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศการเข้ากราบสักการะ มีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศสวมชุดไว้ทุกข์สุภาพเรียบร้อย มาต่อคิวเข้าแถวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้ามืด โดยตลอดทั้งวันมีฝนตกโปรยปราย แต่ประชาชนยังคงเข้าคิวเพื่อเข้ากราบสักการะโดยไม่ย่อท้อ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบ ตั้งแต่เวลา 04.50 น. สำหรับพสกนิกรที่มากราบสักการะพระบรมศพทุกคนจะได้รับแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พิมพ์ 4 สี ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

นางบุญชอบ ทองทิพย์สกุล อายุ 57 ปี เดินทางโดยรถมอเตอร์ไซต์ส่วนตัวมาจากย่านวงเวียนใหญ่ เปิดเผยด้วยใบหน้ามีความสุขหลังเข้ากราบสักการะพระบรมศพว่า ตนมากราบพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทครั้งนี้เป็นครั้งที่ 50 พอดี แต่ละครั้งจะเข้ากราบครั้งเดียว โดยจะมาในช่วงค่ำของทุกวัน เพื่อจะได้เข้ากราบในเวลาเช้ามืด ตนไม่รู้สึกเหนื่อย แต่ตอนแรกๆ ที่เดินทางมา ต้องรอนานมีอาการปวดขาบ้าง แต่พอผ่านไประยะหนึ่ง รู้สึกว่าร่างกายเราแข็งแรงมากขึ้น เพราะได้เดินและยืนมากขึ้น เหมือนพ่อกำลังสอนให้เราอดทน และตนก็รู้สึกสุขใจในทุกๆ ครั้งที่มา

“ครั้งแรกตั้งใจว่าจะมากราบสักการะให้ได้ 9 ครั้ง แต่พอได้มากราบจริงๆ ความรู้สึกอยากจะมาทุกวัน เป็นความปลาบปลื้ม มีความสุข สบายใจ ทำให้นึกถึงสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทำเพื่อพวกเรามากมาย ในทุกพื้นที่แม้ว่าจะกันดารแค่ไหน หลังจากกราบสักการะจะบำเพ็ญตนเป็นจิตอาสาช่วยเสิร์ฟน้ำ และเก็บขยะบริเวณโดยรอบของสนามหลวงก่อนกลับ ส่วนโปสการ์ดที่ระลึกและข้าวเปลือกพระราชทาน ตั้งใจจะนำไปมอบให้กับชาวนาที่ปลูกข้าวในต่างจังหวัด เพราะยังมีคนอีกจำนวนมากที่อยากมากราบสักการะพระบรมศพ แต่มาไม่ได้ ส่วนตนเองตั้งใจจะมาในทุกวัน จนกว่าจะไม่ให้เข้ากราบสักการะ” นางบุญชอบ เผยด้วยความสุขใจ

น.ส.เกศินี โพธิ์นันยา อายุ 24 ปี พร้อมด้วย นางยุพิน สภาพไทย อายุ 45 ปี เจ้าหน้าที่ อบต. ที่นำคณะชาวบ้านจาก จ.ลพบุรี กว่า 700 คน มาร่วมกราบสักการะพระบรมศพ เปิดเผยว่า ออกเดินทางมาตั้งแต่เที่ยงคืนจนมาถึงท้องสนามหลวงตอนตี 2 และรอเข้ากราบสักการะประมาณ 8 โมงเช้า ซึ่งวันนี้อากาศค่อนข้างดี และพักผ่อนมาเพียงพอ จึงไม่รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด

น.ส.เกศินี โพธิ์นันยา อายุ 24 ปี และนางยุพิน สภาพไทย อายุ 45 ปี

“ตื่นตันใจที่ได้มากราบพระองค์ท่าน เพราะก่อนหน้านี้พยายามหาเวลามากราบพระองค์อยู่นานตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ทรงเสด็จสวรรคต ถือว่าเป็นโอกาสหนึ่งในชีวิตที่จะจดจำไปตลอด ตอนที่ขึ้นไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท รู้สึกอาลัยยิ่ง นึกถึงว่าบ้านเมืองปัจจุบันที่เราเกิดมามีพร้อมทุกอย่างแล้ว ก็เพราะพระองค์ท่าน คนรุ่นตัวเองอาจไม่ได้เกิดมาทันเห็นท่านทรงงานอย่างหนัก แต่เราเกิดมาท่ามกลางทุกๆ อย่างที่ทรงสร้าง ทรงพัฒนาให้คนไทย โครงการบริหารดิน น้ำ พัฒนาที่ดิน ทฤษฎีการใช้ชีวิตที่ทรงปูทางให้ นั้นถือว่าดีมากๆ แล้ว เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่จะไม่ลืมเลือน” น.ส.เกศินี กล่าว

นางทิพยวรรณ กำแพงหาญ อายุ 70 ปี และเพื่อนบ้าน

ด้าน นางทิพยวรรณ กำแพงหาญ อายุ 70 ปี อดีตพยาบาลชำนาญการ ชาว อ.แม่สอด จ.ตาก เดินทางมาพร้อมเพื่อนบ้านรวม 4 คันรถตู้ตั้งแต่เวลา 18.00 น.ของวานนี้และมาถึงช่วง 02.00 น.วันนี้ กล่าวว่า เมื่อพ.ศ.2511 เคยได้รับเสด็จในหลวง ร.9 พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เมื่อครั้งเสด็จมาเยี่ยมเยียนราษฎร ตอนนั้นดีใจที่ได้เห็นองค์จริง ครั้งนี้แม้ตอนมาถึงต้องเจอกับสายฝนก็ไม่ท้อ แม้ต้องเปียกก็ไม่หวั่น เพราะตั้งใจมากราบพระองค์ท่าน

“ตอนขึ้นไปกราบรู้สึกปลาบปลื้ม น้ำตาก็พาลจะไหล เสียดายที่มีเวลาเพียงไม่นาน แต่ก็ถือเป็นบุญของตัวเอง ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงงานเพื่อประชาชนมาโดยตลอด เสด็จไปยังถิ่นทุรกันดาร และยิ่งได้มาเห็นสารคดีที่ถ่ายทอดพระราชกรณียกิจ พระบรมฉายาลักษณ์บางรูปเราไม่เคยได้เห็นมาก่อน ก็ทำให้ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ได้ยึดคำสอนเรื่องความพอเพียง ประหยัด มีพออยู่พอกิน หากมีก็กิน ไม่มีก็ใช้ให้พอดี และการมีความรักสามัคคีต่อกันให้แก่ลูกหลานด้วย” อดีตพยาบาลชำนาญการ กล่าว

วันเดียวกันนี้ สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 8 ม.ค. หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ให้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 21.15 น. ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 39,437 คน รวม 69 วัน มี 2,995,314 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 3,568,345.25 บาท รวม 68 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 244,272,161.75 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศเหนือ เยื้องกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยรวมอยู่ภายในศูนย์อาหารบริการประชาชน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ นำอาหาร ขนม ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน โดยแบ่งเป็นมื้อเช้า เวลา 07.00 น. ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู 1,500 ชาม, กาแฟสด 2,500 แก้ว, นมหนองโพ 2,000 กล่อง

มื้อกลางวัน เวลา 11.00 น. เกี๊ยมอี๋น้ำ 3,000 ชาม, น้ำลำใยเกล็ดหิมะ 2,000 แก้ว, กาแฟเย็น 1,000 แก้ว, น้ำจับเลี้ยง 1,000 แก้ว มื้อบ่าย เวลา 16.00 น. ขนมไทย 1,000 กล่อง, ขนมปังไส้กรอก 1,000 ชิ้น, เฉาก๊วย 1,000 ถุง, มื้อเย็น เวลา 18.00 น. ผัดไทย 3,000 จาน โดยมีน้ำดื่มสมุนไพร 500 ลิตร และน้ำดื่มให้บริการประชาชนตลอดทั้งวัน

ส่วน ที่เต็นท์หน่วยแพทย์พระราชทาน ซึ่งตั้งอยู่ภายในท้องสนามหลวง ด้านทิศเหนือ ฝั่งศาลฎีกา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงห่วงใยในพสกนิกรที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงทรงมีรับสั่งให้มีหน่วยแพทย์พระราชทานมาดูแลสุขภาพประชาชนเป็นประจำทุกวัน ต่อเนื่องจนครบ 100 วัน โดยวันนี้มีหน่วยแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ จากโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จำนวน 10 คน และโรงพยาบาลระนอง จำนวน 5 คน มาตรวจรักษาและให้บริการทางการแพทย์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.00 น. เนื่องในวันคล้ายวันประสูติพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เมื่อวันที่ 8 ม.ค.60 ประกอบกับพร้อมกับทอดพระเนตรเห็นพสกนิกรจำนวนมาก ต้องยืนตากฝนระหว่างรอเข้าสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท การนี้จึงทรงพระกรุณา ให้เจ้าหน้าที่กองงานในพระองค์ นำริบบิ้นโบว์สีดำจำนวน 5,000 ชิ้น มาแจกให้แก่ประชาชนที่มาสักการะพระบรมศพ ที่บริเวณด้านหน้ากำแพงแก้ว

ก่อนขึ้นกราบสักการะพระบรมศพ และได้ประทานถุงดำสำหรับใส่รองเท้าจำนวน 5,000 ชิ้นให้เจ้าหน้าที่นำไปให้ประชาชนใส่รองเท้าก่อนขึ้นสักการะพระบรมศพ ขณะเดียวกันยังได้ประทานร่มสีดำที่มีข้อความว่า “๙ ใต้ร่มพระบารมี” จำนวน 3,500 คัน ให้เจ้าหน้าที่นำไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่บริเวณประตูศรีรัตนศาสดา เพื่อกันฝน ทั้งนี้ร่มกันฝน และริบบิ้นโบว์สีดำประทานนั้น ประชาชนสามารถนำกลับไปเป็นที่ระลึกได้ สร้างความปลื้มปิติแก่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน