อัยการสั่งไม่ฟ้องหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ คดีรถโบราณสมเด็จช่วง เหตุหลักฐานไม่ถึง บางข้อหาขาดอายุความ แต่ ฟ้อง “3 เอกชนนำเข้าชิ้นส่วนเบนซ์โบราณสมเด็จช่วง” ปลอมเอกสาร-เลี่ยงภาษี ศาลนัดสอบคำให้การ พรุ่งนี้ 13 ม.ค. เก้าโมงเช้า รอฟ้องอีก “3 เอกชน เจ้าของอู่ ” 10 ก.พ.นี้ ส่วนสำนวน หลวงพี่แป๊ะยังไม่จบ รอส่ง ให้ อธ.ดีเอสไอ ทำความเห็นแย้งหรือไม่ ตามขั้นตอน

เมื่อเวลา 16.20 น.วันที่ 12 มกราคม 60 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก เรือโท สมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงการสั่งคดีที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวหา พระมหาศาสนมุนี หรือ หลวงพี่แป๊ะ หรือ พระธนกิจ สุภาโว (ธนกิจ ศรีอุ่นเรือน) เลขานุการสมเด็จช่วง และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ กับพวกเอกชนอู่ประกอบรถยนต์ รวม 7 คน กรณีเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์เบนซ์โบราณ คันหมายเลขทะเบียน ขม 99กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถที่อยู่ในความครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญญมหาเถร ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญว่า วันนี้ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ มีความเห็นสั่งฟ้อง นายพิชัย วีระสิทธิกุล เจ้าของอู่รถยนต์ ผู้ต้องหาที่ 1 , หจก.ซี.ที.ออโต้พาร์ท โดยนายวสุ จิตติพัฒนกุลชัย ที่ 2 , นายวสุ ที่ 3 ในฐานะส่วนตัว ฐานร่วมกันนำของที่ยังไม่ได้เสียค่าภาษี หรือที่ยังไม่ได้ผ่านศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร หรือร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งรู้ว่าเป็นของที่ยังไม่ได้เสียค่าภาษี หรือไม่ได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง , ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี และร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จ , ใช้เอกสารปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม และใช้เอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชน หรือเอกสารราชการ ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 และ 27 ทวิ , พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 มาตรา 165 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267, 268 ประกอบมาตรา 83 และ 91

 

และยังสั่งฟ้อง นายเกษมศักดิ์ หรืออ๊อด ภวังคนันท์ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) ซึ่งนำเข้าชิ้นส่วนรถโบราณ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันนำของที่ยังไม่ได้เสียค่าภาษีฯเข้ามาในราชอาณาจักร ,ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี และร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จ, ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม , ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และใช้เอกสารที่เกิดจากการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จฯ ตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ มาตรา 27 และ 27 ทวิ , พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฯ มาตรา 165 และประมวลกฎหมายอาญา 264 , 265 ,267, 268 ประกอบมาตรา 83 และ 91

 

ส่วน เมธีนันท์ หรือชลัช นิติฐิติวงศ์ ผู้ต้องหาที่ 5 สั่งฟ้องด้วยข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี และร่วมกันแจ้งจดข้อความอันเป็นเท็จฯ , ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม , ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และใช้เอกสารที่จดข้อความอันเป็นเท็จฯ ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฯ มาตรา 165 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265 , 267 , 268 ประกอบมาตรา 83 และ 91

กับสั่งฟ้อง นายสมนึก บุญประไพ ผู้ต้องหาที่ 6 ฐานร่วมกันแจ้งจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ,ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม, ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และใช้เอกสารอันเกิดจากการแจ้งจดข้อความอันเป็นเท็จ ตามประมวลอาญา มาตรา 264, 265, 267, 268 ประกอบมาตรา 83 และ 91

โดยสั่งไม่ฟ้อง พระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ เลขานุการสมเด็จช่วงและผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ ผู้ต้องหาที่ 7 ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่เสียภาษีไม่ครบถ้วนตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฯ มาตรา 161 เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานใดพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหาที่ 7 รับรถยนต์ไว้โดยรู้ว่านายวิชาญเสียภาษีสรรพสามิตไม่ถูกต้อง

และสั่งยุติการดำเนินคดีกับ นายเกษมศักดิ์ ผู้ต้องหาที่ 4 , นายเมธีนันท์ ผู้ต้องหาที่ 5 และนายสมนึก ผู้ต้องหาที่ 6 ฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เนื่องจากคดีขาดอายุความ และให้ยุติการดำเนินคดีกับ พระมหาศาสนมุนีหรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ต้องหาที่ 7 ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่เสียภาษีไม่ครบถ้วน ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฯ มาตรา 161 (1) กรณีครอบครองรถโบราณช่วงแรก เนื่องจากคดีขาดอายุความ

เรือโท สมนึก โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวต่อว่า หลังจากพนักงานอัยการมีคำสั่งดังกล่าวแล้วก็ได้นำตัวนาย เมธีนันท์ และนายสมนึก ผู้ต้องหาที่ 5-6 ซึ่งได้รับการประกันตัวและมารายงานตัวต่ออัยการในวันนี้ ไปยื่นฟ้องเป็นจำเลย พร้อมกับนายเกษมศักดิ์ ผู้ต้องหาที่ 4 ซึ่งขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ต่อศาลอาญาแล้ว โดยศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีอาญาหมายเลขดำ อ.83/2560

ส่วนนายพิชัย ผู้ต้องหาที่ 1, หจก. ซี.ที.ออโต้พาร์ท โดยนายวสุ ผู้ต้องหาที่ 2 และนายวสุ ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้ต้องหาที่ 3 ได้ขอเลื่อนนัดการส่งตัวฟ้อง เนื่องจากยังจัดหาหลักทรัพย์ที่จะใช้ยื่นประกันตัวในชั้นศาล และยังจัดหาทนายได้ไม่พร้อม ซึ่งพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 ได้นัดผู้ต้องหาที่ 1-3 มาเพื่อนำตัวยื่นฟ้องต่อศาลอาญาอีกครั้งในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ นี้

เรือโท สมนึก โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ยังกล่าวถึงคดีในส่วนของหลวงพี่แป๊ะว่า แม้ขณะนี้พนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องพระศาสนมุนี ผู้ต้องหาที่ 7 แต่ตามขั้นตอนจะต้องส่งสำนวนและความเห็นสั่งไม่ฟ้องนี้ให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พิจารณาทำความเห็นว่าจะเห็นแย้งกับคำสั่งคดีของอัยการที่สั่งไม่ฟ้องนี้หรือไม่ หากดีเอสไอยืนยันความเห็นให้ฟ้องก็จะต้องส่งสำนวนกลับมาให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาดตามกฎหมายต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำฟ้องที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 ยื่นฟ้องนายเกษมศักดิ์ หรืออ๊อด ภวังคนันท์ อายุ 70 ปี หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) ซึ่งนำเข้าชิ้นส่วนรถโบราณ , นายเมธีนันท์ หรือชลัส นิติฐิติวงษ์ อายุ 46 ปี ผู้ดำเนินการนำเอกสารชุดประกอบรถยนต์ไปชำระภาษีสรรพสามิต และ นายสมนึก บุญประไพ อายุ 46 ปี ผู้นำเอกสารรถยนต์ยื่นต่อกรมการขนส่งทางบก เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469, พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 267 และ 268 นั้น ระบุพฤติการณ์สรุปว่า

ระหว่างเดือน ตุลาคม 53 ถึงวันที่ 11 ธันวาคม 54 มีคนร้ายร่วมกันลักลอบนำโครงรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น 300 พร้อมชิ้นส่วนประกอบรถยนต์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 245,115 บาท ซึ่งเป็นของที่ผลิตในต่างประเทศที่ยังไม่ได้เสียภาษี และยังไม่ได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง เข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งต้องเสียภาษีรวมเป็นเงิน 392,133 บาท โดยหลังจากที่มีผู้ลักลอบนำของหนีภาษีดังกล่าวเข้ามาแล้ว จำเลยที่ 1 กับพวก ได้ร่วมกันครอบครองสิ่งของดังกล่าวไว้โดยผิดกฎหมาย กระทั่งวันที่ 7 มีนาคม59 พนักงานสอบสวนได้ยึดรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น 300 บี เปิดประทุน หมายเลขตัวรถ 18601400420/53 หมายเลขทะเบียน งค 1560 กรุงเทพมหานคร ได้จำนวน 1 คัน ซึ่งรถดังกล่าวเกิดจากการนำโครงรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น 300 และชิ้นส่วน 1 ชุด มาประกอบเข้าด้วยกัน ซึ่งจำเลยที่ 1 กับพวก เป็นผู้ลักลอบนำชิ้นส่วนรถยนต์ดังกล่าวที่หลีกเลี่ยงการเสียภาษีเข้ามาโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีรวมจำนวน 392,133 บาท โดยระหว่างนั้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 54 จำเลยทั้งสามยังร่วมกันปลอมเอกสารรวม 17 ฉบับ เพื่อไปดำเนินการจดทะเบียนและโอนรถยนต์ รวมทั้งการจัดทำหนังสือยินยอมซึ่งเป็นเอกสารสิทธิปลอมในการเปลี่ยนหมายเลขทะเบียนรถด้วย อีกทั้งยังร่วมกันแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงานสรรพสามิตในแบบแจ้งราคาขายจำนวน 570,000 บาท ทั้งที่ความจริงรถยนต์นั้นราคาขาย 4 ล้านบาท เพื่อจะหลีกเลี่ยงการเสียภาษีสรรพสามิตให้ต่ำกว่าความเป็นจริงที่จะต้องเสียเป็นมูลค่า 1.6 ล้านบาท โดยมีการชำระภาษีสรรพสามิตเพียงจำนวน 250,800 บาท และระหว่างวันที่ 18 – 26 สิงหาคม.54 จำเลยทั้งสามยังร่วมกันแจ้งเจ้าพนักงาน สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 5 กรมการขนส่งทางบก จดข้อความอันเป็นเท็จลงในแบบคำขอจดทะเบียนรถอีกด้วย โดยระบุว่า รถยนต์คันดังกล่าวมีการประกอบรถจากโครงรถ, ชิ้นส่วนอุปกรณ์ และเครื่องยนต์เก่าที่มีการนำเข้ามาโดยถูกต้องตามกฎหมาย แล้วมีการซื้อกันต่อมาโดยถูกต้อง โดยนางกาญจนา มากเหมือน เป็นผู้ซื้อมาคนสุดท้าย และเป็นผู้ประกอบรถยนต์ดังกล่าว แล้วโอนขายให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญญมหาเถร ป.ธ.9 ) โดยมีบริษัท ช.ธนพลวิศวะกิจ จำกัด ยินยอมให้ใช้หมายเลขทะเบียน ทั้งที่ความจริงไม่มีการนำเข้าโดยถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งนางกาญจนาและ บจก.ช.ธนพลวิศวะกิจ ไม่ได้มอบอำนาจให้จดทะเบียนรวมทั้งโอนขายรถยนต์ดังกล่าว เหตุเกิดที่แขวงจอมพล เขตจตุจักร, แขวงและเขตตลิ่งชัน กทม. ชั้นสอบสวนนายเกษมศักดิ์และนายเมธีนันท์ จำเลยที่ 1-2 ให้การปฏิเสธ ส่วนนายสมนึก จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเฉพาะข้อหาปลอมเอกสาร
ทั้งนี้ ท้ายฟ้องอัยการระบุว่า หากจำเลยทั้งสามขอปล่อยชั่วคราวให้อยู่ในดุลยพินิจของศาล และอัยการยังขอให้ศาลสั่งริบของกลางที่เป็นชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น 300 จำนวน 1 ชุด และเครื่องยนต์ 1 เครื่อง ที่ประกอบเป็นรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น 300 บี เปิดประทุน กับโครงรถยนต์อีก 1 โครง
โดยศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.83/2560 ซึ่งศาลนัดสอบคำให้การจำเลยในวันที่ 13 มกราคม นี้ เวลา 09.00 น.

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน