เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินเป็นวันที่ 95 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายเป็นพระราชกุศล เป็นวันที่ 41

โดยเมื่อเวลา 07.00 น. นายสุรเกียรติ เสถียรไทย ประธานกรรมการมูลนิธิศาลาเฉลิมกรุง เป็นประธานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง จากนั้นถวายภัตตาหารแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร และวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมตั้งแต่ค่ำวันที่ 15 ม.ค. ในการนี้มีมูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มูลนิธิสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ มูลนิธิบุคคลพอเพียง มูลนิธิมั่นพัฒนา มูลนิธิยุวสถิรคุณ มูลนิธิเอสซีจี มูลนิธิศาลาเฉลิมกรุง มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และมูลนิธิสวัสดิการนักแสดงอาสุโส ร่วมเป็นเจ้าภาพ

จากนั้นเวลา 10.30 น. นายอมเรศ ศิลาอ่อน ที่ปรึกษาบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เป็นประธานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง จากนั้นถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร และวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมพระบรมศพ โดยมีบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ ร่วมเป็นเจ้าภาพ

สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 15 ม.ค. หลังสำนักพระราชวังปิดไม่ให้ประชาชนขึ้นกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 23.00 น. จากกำหนดเดิมเวลา 21.00 น. เนื่องจากยังมีประชาชนเข้าแถวรอคิวกราบพระบรมศพเป็นจำนวนมาก โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 56,004 คน รวม 76 วัน มี 3,332,138 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 4,847,065.75 บาท รวม 76 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 273,957,062.34 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้เป็นวันที่ 77 ที่มีพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 05.00-21.00 น. ซึ่งสำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนกลุ่มแรกเข้าพระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรีในเวลา 05.00 น. จากนั้นเวลา 08.00 น. ได้เปลี่ยนให้เข้าทางประตูมณีนพรัตน์ เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดารามทางประตูวิเศษไชยศรี โดยประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาเฝ้ารอต่อคิวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพจำนวนมาก ภายหลังเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึก

นางภัทรา ศิลาอ่อน อายุ 74 ปี ประธานกรรมการบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เผยความรู้สึกว่า พวกเราชาวเอสแอนด์พีทุกคนต่างรู้สึกสูญเสียไม่ต่างจากคนไทยทั่วประเทศ แม้จะผ่านมาเกือบ 100 วันแล้ว แต่ถ้าได้ยินข่าวหรือได้เห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ ยังอดน้ำตาไหลไม่ได้ ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกผูกพัน ตนเห็นพระองค์มาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ นอกจากนี้ยังได้รับพระราชทานน้ำสังข์ พร้อมเงินขวัญถุง 400 บาท นับเป็นมิ่งมงคลของการเริ่มต้นชีวิตคู่และครองเรือนด้วยความราบรื่นตลอดมา

“เนื่องจากบริษัทของเราดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร ทุกปีเมื่อถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ จะพิถีพิถันรังสรรค์เค้กปอนด์ตกแต่งอย่างสวยงามเพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย โดยเฉพาะของในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยจัดทำเค้กเป็นรูปพระราชวังไกลกังวลอย่างสวยงามด้วย โดยพนักงานทุกคนล้วนตั้งใจกันทำอย่างสุดฝีมือ พร้อมตั้งปณิธานขอทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มกำลังสามารถเพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อปวงชนชาวไทยทุกคน” นางภัทรา กล่าว

ด้านน.ส.พรพรรณ ทองใบ อายุ 47 ปี ชาว จ.ยโสธร กล่าวว่า ตนมาทำงานและอาศัยอยู่แถววงเวียนใหญ่ วันนี้ตนกับสามีเดินทางมาต่อคิวที่สนามหลวงตั้งแต่เวลา 03.30 น. และได้กราบสักการะพระบรมศพประมาณ 10.20 น. ครั้งนี้มาเป็นครั้งแรก แม้จะรอนานก็ไม่เหนื่อยเลย รู้สึกดีใจมากและประทับใจที่เห็นคนไทยมีน้ำใจช่วยเหลือกัน ทั้งยังนำอาหารและเครื่องดื่มมาแจกจ่าย หากมีโอกาสก็จะอยากจะมาอีก เพราะตนไม่เคยรับเสด็จและไม่เคยเห็นพระองค์จริงสักครั้ง จึงอยากจะมากราบสักการะพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย

“ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานหนักเพื่อคนไทยมากมาย พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศ แม้จะเป็นถิ่นทุรกันดาร ตนปลาบปลื้มและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ส่วนตัวจะน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต และสอนให้ลูกเดินตามรอยพระยุคลบาท สำหรับพระบรมฉายาลักษณ์ที่ได้รับแจกจากสำนักพระราชวัง ดิฉันจะนำไปใส่กรอบเก็บไว้ เพื่อระลึกถึงพระองค์” น.ส.พรพรรณ กล่าว

น.ส.พรพรรณ ทองใบ อายุ 47 ปี

ขณะที่นายชัยวัฒน์ ฤทธิ์ชุมพล อายุ 49 ปี ครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ โรงเรียนแม่ริมวิทยาคม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า คณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนแม่ริมวิทยาคม รวม 200 คน นั่งรถบัสมาจาก จ.เชียงใหม่ เพื่อมากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถือเป็นการปลูกฝังความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ระหว่างเดินทางก็ฝึกให้เด็กมีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา มีความสามัคคี และช่วยเหลือกัน ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ยังไม่เคยเดินทางมากรุงเทพฯ แม้จะมีเหนื่อยล้ากันบ้าง แต่เด็กๆ ทุกคนก็ภูมิใจที่ได้มากราบพระองค์

นายชัยวัฒน์ ฤทธิ์ชุมพล อายุ 49 ปี

นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า พระองค์ทรงมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชนและประเทศชาติ พระองค์ทรงงานหนักเพื่อคนไทยทุกคน โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยของพระองค์เอง ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้เรา สามารถนำไปสานต่อและปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยที่โรงเรียนมีการสอนให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และสอนให้ปลูกพืชผักขายในโรงเรียน

นางภัทรา ศิลาอ่อน และครอบครัว

“เมื่อปี 2542 ผมเคยรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายที่ได้รับกับพระหัตถ์ของพระองค์ ผมปลาบปลื้มใจมากที่มีโอกาสได้เห็นพระองค์ แม้ตอนนี้พระองค์จะไม่อยู่กับเราแล้ว แต่ผมจะน้อมนำคำสอน พระราชดำรัส และพระราชจริยาวัตรต่างๆ ของพระองค์ ไปใช้ในการทำงานและการดำเนินชีวิต รวมถึงนำไปสอนนักเรียนให้เดินตามรอยพระยุคลบาท” นายชัยวัฒน์ กล่าวด้วยความตื้นตัน

เวลา 14.00 น. พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ประทานเข็มกลัดโบไว้ทุกข์สีดำ ตรงกลางติดเหรียญบาท ด้านหลังโบว์ติดป้ายสีขาวข้อความ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ จำนวน 10,000 ชิ้น ให้สำนักพระราชวังนำไปแจกจ่ายให้ประชาชนที่มาสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บริเวณประตูสรีสุนทร ในพระบรมมหาราชวัง สร้างความปลื้มปีติแก่ประชาชนอย่างยิ่ง

นางฐิติรัตน์ นีลเซ่น อายุ 40 ปี ชาว จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ตนย้ายไปอาศัยอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ได้ประมาณ 6 ปีแล้ว เมื่อปีที่แล้วทราบข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสวรรคต ตนเสียใจมาก จึงตั้งใจเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อมากราบสักการะพระบรมศพ โดยมาถึงเมื่อวันที่ 9 ม.ค. ก่อนจะนัดกับครอบครัวที่ จ.นครราชสีมา เดินทางมาต่อคิวที่สนามหลวงในเวลา 05.30 น. ของวันนี้ และได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพประมาณ 15.00 น. ระหว่างต่อคิวก็รู้สึกปลาบปลื้มใจมากที่เห็นคนไทยมาร่วมกันแจกน้ำ และอาหารให้คนที่เข้าสักการะพระบรมศพ แม้จะรอนาน แต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เมื่อกราบสักการะพระบรมศพแล้ว ยังได้รับประทานเข็มกลัดโบสีดำจากพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทำให้ตนรู้สึกปลาบปลื้มที่ทรงมีน้ำพระทัยประทานของให้ประชาชน

“ดิฉันตื้นตันใจมาก ที่ได้มากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นครั้งสุดท้าย ดิฉันรักพระองค์ตั้งแต่ที่รู้ว่าทรงเป็นในหลวงของเรา เกิดมาก็เห็นพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อคนไทย พระองค์ทรงสอนให้เราทุกคนรักกันและเป็นคนดี ทำให้ดิฉันรักพระองค์มาก ดิฉันจะน้อมนำคำสอนของพระองค์มาใช้ในการดำเนินชีวิต” นางฐิติรัตน์กล่าว

เวลา 16.30 น. รศ.ดร.วีณา เชิดบุญชาติ เลขาธิการมูลนิธิอุบลรัตน์ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ มีพระพิธีธรรม จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร และวัดมหาธาตุยุวราษรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร จำนวน 8 รูป สวดพระอภิธรรม โดยมีคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่มูลนิธิอุบลรัตน์ ในพระบรมราชินูปถัมภ์, คณะกรรมการสหสมาคมศิษย์เซนต์ปอลเดอชาร์ต, ศิษย์เก่าโรงเรียนเซนโยเซฟคอนแวนต์ รุ่นปี พ.ศ.2527, โรงเรียนเซนโยเซฟคอนแวนต์, โรงเรียนซางตาครูสคอนแวนท์พร้อมด้วยคณะเซอร์ บุคลากรและนักเรียน, สมาคมผู้ปกครองและครู โรงเรียนซางตาครูสคอนแวนท์, สมาคมศิษย์เก่าซางตาครูสคอนแวนท์พร้อมคณะกรรมการศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน, สมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกาในพระบรมราชูปถัมภ์, การวิทยาลัยมูลนิธิเพื่อการศึกษาเป็นเจ้าภาพร่วมบำเพ็ญกุศลพระบรมศพ

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน