ผกก.คันนายาว โต้อัยการดัง ยันทำคดี ควายยิ้ม ถูกต้องตามขั้นตอนกม. จันทร์นี้เรียก พี่คล้าว2018 และนายกอบต. เคลียร์ปมกรรมสิทธิ์เจ้าทองคำ

ควายยิ้ม / จากกรณี สงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความ พร้อมด้วย นายบุญเลิศ กาฬภักดี อายุ 64 ปี นายกอบต.สุขเดือนห้า อ.เนินขาม จ.ชัยนาท เดินทางเข้าไปให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน สน.คันนายาว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ หลังนายสุรัตน์ แผ้วเกตุ หรือ “พี่คล้าว2018” ออกมาเรี่ยไรเงินไถ่ตัวควาย “เจ้าทองคำ” กลับคืนมาในราคา 100,000 บาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่ สน.คันนายาว พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช ผกก.สน.คันนายาว เปิดเผยความคืบหน้าว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ย. นายสุรัตน์ได้มามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน และให้การในรายละเอียดเกี่ยวกับคดีถึงที่มาที่ไปว่าเป็นมาอย่างไร ซึ่งได้มีการประชุมพนักงานสอบสวน เนื่องจากมีประเด็นหลายประเด็นที่ต้องสอบ

ประเด็นแรก เรื่องผู้บริจาคเงินทั้งหมด ทางเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจรายการเคลื่อนไหวเงินในบัญชี และเชิญผู้ที่บริจาคเงินเพราะเหตุใด มีเหตุจูงใจอะไรที่ให้คุณบริจาค และต้องการประสงค์นำเงินคืนหรือไม่ ซึ่งขณะนี้มีผู้เสียหาย 2 รายที่มาร้องทุกข์ และมีผู้ติดต่อสอบถามเข้ามาอีก 2-3 ราย

พ.ต.อ.สิงห์กล่าวต่อว่า ในคดีฉ้อโกงประชาชน พรบ.ฟอกเงิน และพรบ.คอมพิวเตอร์ เป็นความผิดที่ยอมความไม่ได้ ทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ มีฐานะ 2 ฐานะ คือ ฐานะผู้เสียหายที่ได้บริจาคเงินไป และฐานะผู้กล่าวโทษ ในทุกคดีหากเป็นเรื่องเล็กน้อยที่พอจะพูดคุยกันได้

ทางสน.คันนายาว เปิดโต๊ะเจรจาให้ผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่ายให้เป็นความประสงค์ของแต่ละฝ่ายที่จะพร้อมเจรจากันหรือไม่ หากเจรจาตกลงกันได้และถอนคำร้องทุกข์ไป แต่ในทางคดีอาญาตำรวจก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

ส่วนเรื่องควายทำไมตำรวจต้องยึด ขอชี้แจงว่าตำรวจไม่ได้ไปยึดควายมา แต่ทางนายกอบต. นำเงิน 100,000 บาท มามอบให้พนักงานสอบสวน เนื่องจากเงินดังกล่าวได้มาจากการกระทำผิด ก็กลัวตัวเองจะเดือดร้อน และได้ไปคุยกับนายสุรัตน์โต้แย้งกรรมสิทธิในเรื่องควาย จึงตกลงกันว่าจะนำควายมาไว้ที่ สน.คันนายาว เขาก็นำควายมาเองตำรวจไม่ได้ไปยึดควายในสถานที่เกิดเหตุ ทั้งนี้การยึดควายยึดตามความผิดพรบ.ฟอกเงิน ตามข้อกล่าวหาที่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งแก่นายสุรัตน์ไป ซึ่งจะต้องพิสูจน์กันว่าผิดจริงหรือไม่

พ.ต.อ.สิงห์ กล่าวว่า การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน หากประชาชนได้รับความเสียหายในคดีอาญาเขาก็มาร้องทุกข์ แต่มีนักกฎหมายหลายท่านวิพากษ์วิจารณ์ ผมก็อยากชี้แจงว่า เราในฐานะพนักงานสอบสวน หากมีคนมาร้องทุกข์มูลเหตุเบื้องต้นเราก็ต้องรับ จะบอกว่าคดีเล็กน้อย ผมไม่รับไม่ได้ อย่างสน.คันนายาว มีคดีเกิดขึ้นมากมาย เช่น จอดรถกีดขวางหน้าบ้าน ข้างบ้านทะเลาะกัน ปล่อยหมาเข้าบ้าน ฯลฯ เจ้าหน้าที่ก็ต้องรับเรื่องไว้หมด เมื่อสอบสวนไปแล้วมีพยานหลักฐานพอเชื่อได้ว่า คือไม่ต้องบริสุทธิ์ 100% เราก็ต้องออกหมายเรียกผู้ต้องหามาแจ้งข้อหา

คดีดังกล่าวผู้เสียหาย ซึ่งเป็นทนายสงกรานต์ก็เป็นทนายความ ความจริงการร้องทุกข์เอาข้อเท็จจริงและรายละเอียดการกระทำผิดมาให้ตำรวจ แต่ข้อกฎหมายเป็นหน้าที่ของตำรวจที่ทางพนักงานสอบสวนจะปรับให้เข้าข้อกฎหมาย แต่ทนายสงกรานต์ได้มาร้องทุกข์และมีข้อกฎหมายมาด้วย เราก็รวบรวมพยานหลักฐานจากที่ทนายสงกรานต์นำมาให้ แล้วเราก็รวบรวมข้อมูลตรวจสอบบัญชีเส้นทางการเงิน รวมถึงการตรวจสอบเฟซบุ๊ก ว่าโพสต์ว่าอย่างไร และดูคลิปที่นายสุรัตน์พูด และได้ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษามาให้ความเห็น

จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ได้ออกหมายเรียกไป และไม่ได้ใช้ความรุนแรงในการที่จะออกหมายจับเลย แม้ว่าทางผู้กล่าวหาจะบอกพนักงานสอบสวนให้ออกหมายจับเลย แต่ทางพนักงานสอบสวนมองว่าเรื่องนี้ ผู้ต้องหาไม่มีพฤติการณ์หลบหนี และยังอยู่ในพื้นที่ จึงได้ออกหมายเรียกไป แต่ทางนายสุรัตน์ก็มามอบตัว

พ.ต.อ.สิงห์ กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 3 ธ.ค. เวลา 10.00 น. ได้เรียกนายบุญเลิศ กาฬภักดี นายก อบต.สุขเดือนห้า เจ้าของควาย และนายสุรัตน์ แผ้วเกตุ มาพบเรื่องควายของกลาง ว่าจะให้ไปอยู่ในความดูแลของใคร โดยให้นายบุญเลิศและนายสุรัตน์ไปพูดคุยตกลงกันก่อน ก่อนจะมาทำบันทึกให้เป็นลายลักษณ์อักษร

ส่วนกรณีเรื่องที่เกิดขึ้นที่เป็นกระแสอยู่ในขณะนี้จะมีผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่นั้น นายสุรัตน์เป็นคนซื่อ แต่มีผู้อยู่เบื้องหลังที่ทำให้สิ่งต่างๆ โด่งดังขึ้นมา เช่น ควายยิ้ม ก็มีประเด็นให้เจ้าหน้าที่ต้องไปสอบผู้เกี่ยวข้องที่ชำนาญการด้านควาย ว่าควายสามารถยิ้มได้ไหม ไปหงายคอขึ้น ไปดึงเชือกข้างหลังทำให้เขาเจ็บแล้วเขาอ้าปาก ใครเป็นคนถ่ายภาพ ใครเป็นคนทำเพจ ใครโพสต์ ทำให้ประชาชานเข้าใจว่าควายยิ้มได้ สร้างกระแส ใครบ้างที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนายสุรัตน์เป็นคนซื่อก็ให้การหมดว่าใครพาเขาไปไหนอย่างไร พาไปเชิญเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องคือปศุสัตว์ พาไปหาผู้สื่อข่าวช่องหนึ่ง

“อย่างเมื่อวันที่ 29 พ.ย. มีผู้สื่อข่าวช่องหนึ่งที่ออกรายการมีรถไปรับนายสุรัตน์ จัดหาทนายความให้ แล้วพามาสน. ซึ่งผมก็ได้แจ้งข้อหากับนายสุรัตน์แล้วกำชับว่า ผมจะปล่อยตัวไปนะ แต่ห้ามไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ห้ามไปให้สัมภาษณ์ในเรื่องคดี แต่ถ้าให้สัมภาษณ์เรื่องเลี้ยงควายหรือให้ความรู้เกี่ยวกับควายได้ไม่เป็นไร ก็เห็นมีไปออกรายการและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ และมีท่านอัยการปรเมศวร์ที่โจมตีการทำงานของพนักงานสอบสวน ผมได้กำชับไปแล้วแต่ทำไมยังไปออกรายการในทำนองนั้น และเป็นรายการที่ออกฝ่ายเดียว สร้างความเสียหายให้กับผม ผมรับราชการตำรวจมาตลอดชีวิต ผมรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ถ้าคุณสุรัตน์คิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำผิดไม่ถูกต้อง คุณฟ้องร้องผมได้เลย เพราะหากควายเป็นอะไรไป ผมก็ต้องรับผิดชอบ แต่เรื่องดังกล่าวเป็นการโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ ผมจะคืนได้อย่างไร ต้องขอความเป็นธรรมให้กับตำรวจด้วย” พ.ต.อ.สิงห์ กล่าว

สำหรับการจะออกหมายเรียกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่อยู่เบื้องหลังในคดีนี้หรือไม่ จะต้องเรียกหมด โดยจะตรวจสอบเส้นทางการเงิน และเส้นทางการสื่อสารทั้งหมด ว่าใครมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร การทำข่าวต่างจังหวัดก็มีสตริงเกอร์ คอยส่งข่าวไปแต่ละช่อง เขาก็ได้ไปถ่ายภาพนายสุรัตน์ ที่อยู่กับควาย มีภาษาทางกาย ทางเดินไปลงน้ำ มีท่าร้องไห้ ท่าอะไรต่างๆ เป็นบุคลิกภาพโดยปกติของนายสุรัตน์หรือไม่

หรือสร้างภาพขึ้นมา ซึ่งเรื่องนี้ทางผู้กล่าวหาเขาก็สงสัยในประเด็นนี้ด้วย เจ้าหน้าที่ก็ต้องสอบตามประเด็น ส่วนนายสุรัตน์มีพยานหลักฐานใดมา เจ้าหน้าที่ก็พร้อมที่จะให้อยู่ในสำนวน รวมถึงผู้บริจาคที่บริจาคให้นายสุรัตน์ด้วยความเต็มใจ รู้ว่าไม่ได้ฉ้อโกงก็ขอให้เข้ามาให้การ เจ้าหน้าที่พร้อมให้ความเป็นธรรมในทุกฝ่าย

พนักงานสอบสวนก็เหมือนตาชั่งที่จะต้องฟังความทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อพิสูจน์รายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำผิด คดีนี้เป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชน ผมทำคดีก็ต้องละเอียดรอบคอบ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน