เมื่อวันที่ 22 ก.ย. ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) น.ส.สุทธิลักษณ์ ระวิวรรณ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ทส. กล่าวถึงกรณีชุดปฏิบัติการฉลามขาว เข้าตรวจยึดจับกุมท่าเรือซีพี และนากุ้งที่บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าท่าโสม จ.ตราด กว่า 50 ไร่ โดยผู้ครอบครองโฉนดที่ดินเป็นคนจากตระกูลดัง “เจียรวนนท์” ว่า เป็นการบังคับใช้กฎหมายของทช. เพื่อทวงคืนผืนป่าตามนโยบายของรัฐบาล โดยไม่เลือกว่าผู้ที่ครอบครองที่ดินจะมาจากตระกูลใด แต่เมื่อทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ในกรณีดังกล่าวผู้ที่ครอบครองโฉนดที่ดิน มีพื้นที่ในโฉนดน้อยกว่าพื้นที่ใช้ประโยชน์จริง โดยทช. ได้ประสานกับกรมที่ดินในการตรวจสอบ โดยมีนายอนันต์ สว่างไสว ผู้จัดการท่าเทียบเรือ และนายชัยวัฒน์ ถนอมพันธ์ แสดงตนและยอมรับว่าครอบครองพื้นที่เกิน และเข้าไปทำประโยชน์ในป่าสงวนแห่งชาติป่าท่าโสมจริง ทช. จึงเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับทั้ง 2 คน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นตระกูลใดก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน

201609211354206-20041020151344

อธิบดีทช. กล่าวต่อว่า พื้นที่ป่าชายเลนที่ผ่านมาถูกบุกรุกอย่างมาก จากเดิมประเทศไทยมีมากถึง 2.3 ล้านไร่ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 1.53 ล้านไร่ แสดงให้เห็นว่า ในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยสูญเสียไปกว่า 7.7 แสนไร่ พื้นที่ป่าชายเลนส่วนใหญ่ถูกบุกรุกทำนากุ้ง เช่น จ.ตราด จันทบุรี นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี เป็นต้น ดังนั้นทช. จะรักษาพื้นที่ป่าชายเลนที่เหลืออยู่ 1.53 ล้านไร่ให้คงอยู่ให้ได้ โดยจากนี้ กรมฯ จะมีการย้ายหน่วยป้องกันรักษาป่า 45 หน่วย เข้าไปดูแลในพื้นที่ป่าชายเลนอย่างใกล้ชิด และจะเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ โดยจะใช้เทคโนโลยีโดรน บินสำรวจพื้นที่ป่าชายเลน และถ่ายทอดสดมายังหน่วยป้องกันฯทุกวัน เพื่อจะดูว่ามีการบุกรุกหรือไม่ นอกจากนี้หน่วยป้องกันฯ จะร่วมกับหน่วยงานของทช.ใน 23 จังหวัด ดำเนินการป้องกันรักษาป่าชายเลนอย่างเต็มที่ รวมทั้งจะประกาศพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์เป็นป่าของกรมฯเอง โดยขณะนี้ได้ทำหนังสือมายังกระทรวงทรัพยากรฯ แล้ว

201609211356041-20041020151344

ด้านนายรัชชัย พรพา หัวหน้าชุดปฎิบัติการฉลามขาว กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า ที่ดินที่เข้าตรวจสอบเมื่อวันที่ 21 ก.ย. ที่ผ่านมา เป็นการตรวจสอบตามโฉนดของกรมที่ดิน ซึ่งกรมฯ ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องหลังจากมีการร้องเรียนจากประชาชนว่า มีกลุ่มนายทุนทำนากุ้งบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าท่าโสม จึงมีการตรวจสอบโฉนดผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าวพบว่าเป็นของนายจรัญ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ คุณหญิงเอื้อปราณี เจียรวนนท์ และนางนุชนารถ เจียรวนนท์ รวม 7 แปลง เป็นโฉนด 6 แปลง และนส.3 จำนวน 1 แปลง ซึ่งขณะนี้ได้มีการตรวจสอบโฉนดและการใช้ประโยชน์จากที่ดินจริง จากการเดินพิสูจน์พบว่า มี 1 แปลงที่บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าท่าโสม ซึ่งออกโฉนดโดยมิชอบ

ส่วนโฉนดที่เหลือกำลังสำรวจคาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ส่วนพื้นที่ที่มีการจับกุมคือ นากุ้ง อู่ซ่อมเรือ และปั้มน้ำมัน ตามกฎหมายต้องมีการรื้อถอนทุบทิ้ง ทั้งนี้ต้องรอเจ้าของมาแสดงตัว หากไม่มาก็สามารถใช้มาตรา 25 เพื่อรื้อถอนได้ทันที ขณะที่ในส่วนของท่าเทียบเรือ กำลังเร่งพิสูจน์ร่วมกับกรมเจ้าท่าว่าอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนหรือไม่ หากพบว่าอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติก็ต้องรื้อถอน

นายรัชชัย กล่าวต่อว่า การเข้าไปดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งเป็นของตระกูลเจียรวนนท์ เป็นการดำเนินการต่อเนื่อง ไม่ได้เลือกปฏิบัติ คนในพื้นที่ดังกล่าวก็รู้กันดีว่าเป็นพื้นที่ของใคร แล้วเรียกติดปากว่าเป็นของบริษัทซีพี แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ พื้นที่ดังกล่าวเป็นของนายจรัญ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ทุกอย่างกรมดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพื้นที่ของตระกูลดัง เจียรวนนท์ ที่บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติท่าโสม มีทั้งหมด 6 แปลง เป็นชื่อของนายจรัญ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำนวน 1 แปลง โฉนดเลขที่ 16810 เนื้อที่ 4.99 ไร่ และมีนส.3 จำนวน 1 แปลง เลขที่ 121/112 เนื้อที่ 2 ไร่ เป็นโฉนดของคุณหญิงเอื้อปราณี เจียรวนนท์ ภรรยานายจรัญ จำนวน 4 แปลง โฉนดเลขที่ 16702, 16703, 16811, 16816 เนื้อที่ 42.87 ไร่ เป็นของนางนุชนารถ เจียรวนนท์ บุตรสาว จำนวน 1 แปลง โฉนดเลขที่ 16701 เนื้อที่ 6.29 ไร่

นายศักดา วิเชียรศิลป์ รองอธิบดีทช. กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้ทำหนังสือถึงพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เพื่อขอให้รับโอนคดีด้านป่าไม้ให้กับพนักงานสอบสวนกลางดำเนินการในคดีที่ทช. ได้ดำเนินการตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำผิดบุกรุกป่าชายเลน เมื่อวันที่ 28-30 มิ.ย. ที่ผ่านมา จำนวน 3 คดี ได้แก่ 1.บุกรุกทำลายป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองจิหลาด ม.4 ต.ไสไทย อ.เมือง จ.กระบี่ เนื้อที่ 33-2-08 ไร่ ผู้ต้องหา 2 คน 2.บุกรุกทำลายป่าสงวนแห่งชาติคลองจิหลาด ม.5 ต.ไสไทย เนื้อที่ 89-0-46 ไร่ ผู้ต้องหา 1 คน และคดีที่ 3 บุกรุกทำลายป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองจิหลาด ม.6 ต.ไสไทย เนื้อที่ 12-2-75 ไร่

รองอธิบดีทช. กล่าวต่อว่า โดยทั้ง 3 คดีเป็นคดีรายใหญ่ที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ประกอบกับคดีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับอดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำผิด ทำให้การสอบสวนสืบสวนในพื้นที่ดำเนินการไปได้อย่างไม่สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร และไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริงมาลงโทษได้ จึงขอโดนคดีทั้ง 3 ดังกล่าวไปยังพนักงานสอบสวนส่วนกลาง

นายศักดา กล่าวว่า นอกจากนี้ ทช. ได้ทำหนังสือไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำผิด เนื่องจากได้ตรวจสอบที่ดินป่าชายเลนที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองจิหลาด ต.ไสไทย พบมีการครอบครองและทำประโยชน์ทำบ่อเลี้ยงกุ้งเนื้อที่ 131-0-26 ไร่ แต่ได้นำโฉนดที่ดิน 2 ฉบับ และส.ค.1 จำนวน 1 ฉบับมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีเนื้อที่ทำประโยชน์เกินจากโฉนดที่นำมาแสดง เนื้อที่ 89-0-46 ไร่

อย่างไรก็ตาม บริเวณที่ออกโฉนดที่ดินมีสภาพเป็นป่าสงวนแห่งชาติ แต่มีการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินโดยไม่มีหลักฐานหนังสือแสดงสิทธิครองครองที่ดินทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวจึงเป็นการทับซ้อนพื้นที่ป่าสงวน ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ดำเนินการออกโฉนดทับซ้อนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จึงเป็นความผิดทางอาญา ฐานจัดทำเอกสารหรือกรอกข้อความอันเป็นเท็จ และฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบก่อให้เกิดความเสียหายต่อป่าชายเลนและป่าสงวนแห่งชาติ จึงต้องประสานกับดีเอสไอ เพื่อพิจารณาดำเนินการกับเจ้าหน้ารัฐที่กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวต่อไป

 

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน