พ่อแม่ “นายฝน” หนุ่มสติไม่ดี ร้องกองปราบทำคดีแทนตำรวจสุพรรณ หลังถูกดำเนินคดีพรากผู้เยาว์ น้องต้าแง เด็กเมียนมาที่หายตัว ก่อนพบเป็นศพกลางไร่อ้อย เชื่อลูกไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ ทนาย แฉพิรุธเพียบ!

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 ม.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ พร้อมด้วยพ่อและแม่ของ นายฝน อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาคดีพรากผู้เยาว์ ด.ช.ซูลุยผิว สัญชาติเมียนมา วัย 2 ขวบ ที่หายตัวไปก่อนพบเป็นศพในไร่อ้อยที่อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.บุญเลิศ กัลญาณมิตร ผกก.(สอบสวน) บก.ป. เพื่อร้องขอความเป็นธรรม และขอให้ บก.ป. เข้ามาดำเนินการสอบสวนแทน

นายอนันต์ชัย เปิดเผยว่า ตนได้พูดคุยกับครอบครัวนายฝน แล้วก็ทราบความจริงว่า นายฝนเป็นผู้พิการทางสติปัญญา มีปัญหาการเรียนรู้ หรือที่เรียกกันว่า เด็กพิเศษ หรือออทิสติก ทำให้นายฝนมีอายุสมองเท่ากับเด็ก 5 ขวบ ที่ผ่านมานายฝนไม่เคยไปยังบริเวณไร่อ้อยที่เกิดเหตุเลย ตามระยะทางจากวัดไปยังจุดพบศพเด็กนั้น ไกลถึง 3.4 กิโลเมตร และไกลจากบ้านของนายฝนถึง 1.5 กิโลเมตร ระหว่างทางก็เป็นป่าอ้อย ทางคดเคี้ยวหลายแยก หากนายฝนจะไปจริง เชื่อว่าไม่มีทางกลับบ้านถูกแน่นอน

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

นายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า พฤติกรรมของนายฝนชอบขี่รถจักรยานเวลาไปไหนมาไหน และรักรถจักรยานคันนี้มาก ไม่มีทางที่จะทิ้งรถจักรยาน และจูงเด็กชายที่เสียชีวิตไปอย่างแน่นอน หากวิเคราะห์ว่าให้เด็กผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานก็เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีที่นั่งซ้อนท้าย เท่าที่ตนตรวจสอบก็พบข้อพิรุธทางคดีหลายส่วน มีทั้งทำลายสถานที่เกิดเหตุด้วยการลอกคูน้ำขึ้นมาทันทีหลังจากพบศพแล้ว

“ขณะเดียวกันในขณะที่พนักงานสอบสวนนำตัวนายฝนไปชี้จุดทำแผนเพื่อประกอบคำรับสารภาพ ก็มีการใช้คำถามที่ชี้นำ ให้นายฝนตอบคำถามสั้นๆ เพียงคำว่า “อื้อ” เนื่องจากเป็นเด็กออทิสติก และที่สำคัญก็คือพนักงานสอบสวนไม่เคยเรียกตัวพยาน 8 รายที่สามารถยืนยันได้ว่าขณะเกิดเหตุนายฝนไม่ได้อยู่กับเด็กผู้ตาย จนชาวบ้านต้องออกมาประท้วงกดดัน ทำให้ตำรวจเรียกพยานส่วนนี้มาสอบปากคำ แต่ก็สอบไปเพียง 5 รายเท่านั้น” นายอนันต์ชัย กล่าว

นายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า ซึ่งพยานอีก 3 รายที่ไม่ถูกเรียกมาสอบปากคำนั้น มีพระสงฆ์ 2 รูป ซึ่งพนักงานสอบสวนให้เหตุผลว่า ไม่สามารถเชื่อถือได้ เพราะนายฝนเป็นลูกศิษย์วัด ส่วนพยานที่เหลือเป็นชาวบ้าน ที่ตำรวจอ้างว่าไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ช่วงวันที่ 17-25 ธ.ค.ได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว ชาวบ้านสามารถจดจำเหตุการณ์ได้ทั้งหมด เพราะในวันที่ 16 ธ.ค.นั้น เป็นวันหวยออก และมีเจ้าของร้านก๊วยเตี๋ยวในหมู่บ้านถูกรางวัล จึงมีการจัดเลี้ยงกันในวันที่ 17 ธ.ค.

“ซึ่งก็มีพยานจดจำได้ว่านายฝนยังมาร่วมกินก๊วยเตี๋ยวในวันดังกล่าวด้วย ก่อนจะกลับไปอยู่ที่วัด ทำให้เชื่อว่าคดีนี้น่าจะมีการจัดฉาก โดยด.ช.ซูลุยผิวน่าจะเสียชีวิตจากจุดอื่น แล้วก็มีการนำร่างมาทิ้งยังจุดที่พบศพ เนื่องจากก่อนหน้าเคยมีการค้นหาในพื้นที่ดังกล่าวหลายครั้ง แต่กลับไม่พบศพ จนเมื่อกระแสสังคมเริ่มแรงขึ้น ถึงได้ไปพบศพในจุดดังกล่าว ขณะที่ผลนิติวิทยาศาสตร์ก็ยังระบุว่า เด็กไม่ได้เสียชีวิตเพราะการจมน้ำ แต่ในจุดเกิดเหตุกลับมีคูน้ำซึ่งขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง” ทนาย กล่าว

ด้าน พ่อของนายฝน กล่าวว่า ตนยืนยันว่า ลูกชายยังเป็นผู้บริสุทธิ์ เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยออกนอกเส้นทางจากวัดกลับบ้าน จะมีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่หลงหาทางกลับบ้านไม่ถูก ประกอบกับลูกชายมีอาการลมชัก ต้องกินยาสม่ำเสมออีกด้วย หลังจากนี้ตนก็ไปร้องต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยชุดพนักงานสอบสวนที่ทำคดีนี้อีกด้วย

ด้าน พ.ต.อ.บุญเลิศ กล่าวว่า เบื้องต้นก็จะรับเรื่องและสอบปากคำผู้ร้องไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน