จับสาวประเภทสอง ลวงตุ๋นเงินเหยื่อญี่ปุ่นนับร้อยราย สูญ10ล้าน

จับสาวประเภทสอง / เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.)

แถลงจับกุมนายอุทัย นันทะขันธ์ อายุ 43 ปี สาวประเภทสอง ชาว ต.นาสอาด อ.สร้างคอม จ.อุดรธานี ผู้ต้องหาคดี “ฉ้อโกงทรัพย์โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น” หลังจับกุมได้บริเวณหน้าโรงแรม มิตรภาพเทียร่า ซอยบุญอยู่ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ผู้ต้องหารายนี้จะเลือกเหยื่อเป็นนักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น ตามสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ซอยทองหล่อ อโศก สุขุมวิท สีลม โดยจะเข้าไปตีสนิท หลอกว่าตนเป็นนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันหรือฮ่องกง เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยแต่กระเป๋าสตางค์หาย ไม่มีเงินติดตัว

ขอให้เหยื่อช่วยติดต่อกับเพื่อนตามหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งเป็นหมายเลขที่ไม่สามารถติดต่อได้ และเมื่อเหยื่อสงสารจะให้เงิน แต่นายอุทัยกลับไม่ยอมรับเงิน พร้อมกับแจ้งเหยื่อว่าติดต่อกับครอบครัวที่ฮ่องกงหรือไต้หวันให้โอนเงินมาให้ และขอใช้บัญชีธนาคารของเหยื่อชาวญี่ปุ่น

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ซึ่งนายอุทัยใช้วิธีหลอกโอนเงินทางตู้เอทีเอ็ม ว่าเงินได้โอนมาให้เหยื่อแล้วแต่ยังไม่สามารถใช้เงินได้ ต้องรออีก 3-5 วัน ทางเหยื่อชาวญี่ปุ่นก็หลงเชื่อ และได้ให้เงินสดไป แต่เมื่อครบกำหนดใช้เงินแล้ว กลับไม่มีการโอนเงินเข้ามา

ผบช.สตม.กล่าวอีกว่า จากการสืบสวนทราบว่านายอุทัยกระทำผิดในลักษณะดังกล่าวมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ผู้เสียหายหลายร้อยคนได้เงินร่วมหลาย 10 ล้านบาท โดยนายอุทัยจะนำเงินที่ได้จากการหลอกลวงในแต่ละครั้งไปเที่ยวเตร่ เลี้ยงเด็กผู้ชาย และเล่นการพนันออนไลน์

ด้านนายอุทัยกล่าวรับว่า สาเหตุที่ทำให้ต้องก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว มาจากในช่วงที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 2 และไปท่องเที่ยวกับผู้ชายชาวญี่ปุ่นที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย จากนั้นถูกหลอกโดยปล่อยให้อยู่ที่โรงแรมคนเดียวและต้องจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดจึงรู้สึกคับแค้นใจ

นอกจากนี้ ตนยังเคยถูกจำคุกในคดีดังกล่าวมาแล้ว และภายหลังจากการพ้นโทษมีการโพสต์ข้อความและภาพของตน ในลักษณะแจ้งเตือนชาวญี่ปุ่นบ่อยครั้งและไม่ยอมหยุด จึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงกลับมาลงมือก่อเหตุซ้ำอีก

จากการตรวจสอบพบว่านายอุทัยเคยต้องคดีในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว 5 ครั้ง และเพิ่งพ้นโทษมาเมื่อปลายปี 2561 ความเสียหายที่ผ่านมาที่สถานทูตรับเรื่องไว้ ปี 2554 ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น 25 ราย มูลค่าความเสียหาย 942,000 บาท ปี 2555 ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น 9 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,166,000 บาท ปี 2557 ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น 16 ราย มูลค่าความเสียหาย 1,588,000 บาท

ปี 2558 ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น 2 ราย มูลค่าความเสียหาย 330,000 บาท ปี 2561 ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น 8 ราย มูลค่าความเสียหาย 308,000 บาท รวมมูลค่าความเสียหายที่ผ่านมา ประมาณ 5,334,000 บาท

“ทั้งนี้ ศปอส.ตร.จะสืบสวนขยายผล ว่ามีผู้อื่นที่เกี่ยวข้องในคดีดังกล่าวด้วยหรือไม่ หากพบการกระทำความผิด ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป และขอนำเรียนประชาชนว่าหากพบการกระทำผิดในลักษณะเช่นนี้ สามารถแจ้งข้อมูลมาที่สายด่วน ศปอส.ตร. 1155 สายด่วนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 1175 และสายด่วน 191 ตลอด 24 ชั่วโมง” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน