เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 16 ก.พ. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รองโฆษก ตร.) และพ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษก ดีเอสไอ ร่วมกันแถลงการลงพื้นที่ปฏิบัติการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย ในคดีพิเศษที่ 27/2559 เพื่อจับกุมพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาตามหมายจับ ในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร ในคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด

อ่านข่าว ทหาร-ตำรวจ 17 กองร้อย!! ตรึงกำลังรอบวัดพระธรรมกาย หลัง คสช. ประกาศใช้ ม.44

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า จากกรณีที่ดีเอสไอได้มีการสอบสวนดำเนินคดีอาญากับพระธัมมชโย กับบุคคลที่เกี่ยวข้อง กรณีได้รับเงินที่เกิดจากการทุจริตของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯคลองจั่น กว่า 1,400 ล้านบาท ซึ่งมีความเสียหายกับประชาชนที่ฝากเงินกับสหกรณ์ฯคลองจั่น กว่า 50,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นบุคคลที่เก็บออมเงินไว้ทั้งชีวิต เพื่อให้ได้ดอกผลไว้ใช้

อ่านข่าว ยังตรึงกำลังเข้ม สถานการณ์เข้าจับ “ธัมมชโย” ประชิดประตู ส่งคนเข้าเจรจา

ดังนั้น เมื่อผู้เสียหายมาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อดีเอสไอ ดีเอสไอจึงได้ทำการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีกับนายศุภชัยกับพวก ในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง หลังจากดำเนินคดีแล้วได้มีการส่งสำนวนสอบสวนให้พนักงานอัยการ พนักงานอัยการก็ได้มีการชี้แนะว่าให้ดีเอสไอดำเนินคดีกับผู้ที่รับเช็ค 878 ฉบับ ว่ามีกลุ่มใดรับเช็คดังกล่าวโดยไม่มีมูลหนี้บ้าง

อธิบดีดีเอสไอ กล่าวต่อว่า เมื่อดีเอสไอได้รับคำชี้แนะจากพนักงานอัยการแล้ว ก็ได้มีการดำเนินคดีกับผู้ทีรับเช็ค 878 ฉบับ รวมทั้งหมด 8 กลุ่ม ซึ่งทั้งหมดได้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหา และก็ต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมแล้ว คงมีคดีพิเศษ 27/2559 ที่มีพระธัมมชโยตกเป็นผู้ต้องหาอยู่ด้วย ซึ่งในคดีพิเศษนี้มีผู้ต้องหาอยู่ทั้งหมด 5 คน คือนายศุภชัย ถูกจำคุกอยู่แล้ว อีก 2 คน มามอบตัวแล้ว ส่วนอีก 2 ราย คือ น.ส.ศิศิธร ได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ และพระธัมมชโย ไม่เข้ามามอบตัวกับพนักงานสอบสวน

ซึ่งที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนได้เชิญพระธัมมชโยให้มาเข้ามอบตัว ทั้งส่งหนังสือเชิญไป และท่านก็ส่งมาชี้แจง อีกทั้ง ยังมีการกำหนดวันที่จะเข้ามอบตัวแต่สุดท้ายก็เลื่อนออกไปหลายครั้ง กระทั่ง ดีเอสไอได้ออกหมายเรียก ซึ่งครั้งแรกพระธัมมชโยอ้างว่าเรื่องติดกิจทางสงฆ์ พนักงานสอบสวนก็ให้เลื่อนได้ ส่วนครั้งที่ 2 ท่านก็อ้างเรื่องอาพาธ เราจึงได้นำเรื่องสู่ศาลรายงานข้อเท็จจริง จนนำไปสู่การออกหมายจับ ซึ่งในขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ก็ให้โอกาสว่าหากมามอบตัวก็จะให้ประกันตัว โดยมีการนัดหมายกันหลายครั้ง แต่ท่านก็ไม่มาพบพนักงานสอบสวน

“ที่ผ่านมา ท่านก็อ้างว่าไม่ได้กระทำความผิด พนักงานสอบสวนก็ชี้แจงไปว่าหากไม่ได้กระทำความผิดก็ขอให้เข้ามาต่อสู่คดีในกระบวนการยุติธรรม กระทั่งอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องคดีดังกล่าว พร้อมทั้งมีคำสั่งว่าให้พนักงานสอบสวนนำตัวพระธัมมชโยไปฟ้อง ดีเอสไอจึงได้ดำเนินการขอหมายค้น โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2559 ซึ่งในการเข้าตรวจค้นมีลูกศิษย์และสาวกมาขัดขวางการทำหน้าที่ จึงได้มีการดำเนินคดีกับผู้ที่ขัดขวางไว้ส่วนหนึ่ง ต่อมา 13-16 ธ.ค. 2559 ก็ได้ขอหมายค้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ตามหมายค้น” พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าว

อธิบดีดีเอสไอ กล่าวอีกว่า ดีเอสไอจึงได้รายงานให้นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมว.ยุติธรรม ทราบว่าจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษในการดำเนินคดีนี้ จึงเสนอว่าขอใช้ประกาศจากหัวหน้า คสช. เพื่อใช้ มาตรา 44 ในการดำเนินคดีนี้ จึงได้มีประกาศ คสช. ที่ 5/2560 เรื่องมาตรการการใช้อำนาจกำหนดพื้นที่ควบคุมเพื่อประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายโดยให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติเป็นพนักงานตามกฎหมาย ซึ่งผู้บังคับบัญชาได้เน้นย้ำมาว่าให้ใช้อำนาจพิเศษเท่าที่จำเป็นและไม่ให้ใช้ความรุนแรง ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่าจะใช้เท่าที่จำเป็นและหลีเลี่ยงความรุนแรงทุกอย่าง

อีกทั้ง เจ้าหน้าที่ที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจค้นก็จะไม่พกอาวุธเข้าไปภายในวัด ทั้งนี้ การเข้าตรวจค้นในครั้งนี้ ดีเอสไอก็ได้ขอหมายค้นจากศาลอาญามาประกอบด้วย ส่วนหมายค้นจะมีกำหนดระยะเวลาเท่าไหร่นั้น ตรงนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้

“ดีเอสไอดำเนินการตามกฎหมาย ที่ผ่านมาในกระบวนการยุติธรรม ถ้ามีผู้ต้องหาตามหมายจับและไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม กฎหมายก็จะมีปัญหา ดังนั้นเองตั้งแต่การดำเนินคดีก็ดี กระทั่ง ศาลออกหมายจับ พนักงานสอบสวนขอยืนยันว่าเราทำตามขั้นตอนกฎหมายมาโดยตลอด และในการเข้าตรวจค้นครั้งนี้ก็ดำเนินการตามกฎหมายมาโดยตลอด” อธิบดีดีเอสไอ กล่าวและว่า หากคิดว่าท่านบริสุทธิ์ ก็ขอกราบนิมนต์ท่านมาเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย โดยให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งมีทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ซึ่งสามารถแสดงความบริสุทธิ์ใจได้ และอยากให้ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้เป็นผู้ขัดแย้งกับพระธัมมชโยและศาสนาพุทธ เราเป็นเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎหมายบัญญัติไว้อย่างไรเราต้องปฏิบัติตามกฎหมาย

ด้าน พล.ต.ท.ชาญเทพ กล่าวว่า การเข้าดำเนินการครั้งนี้ใช้กำลังตำรวจของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และ ภาค7 และทำรวามเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่วัด พร้อมกันบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากวัด และห้ามคนนอกเข้า ส่วนใครจะกลับภูมิลำเนาทางเจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมรถอำนวยความสะดวกให้เช่นกัน

“ในการตรวจค้นครั้งนี้จะทำจนกว่าจะได้ตัวพระธัมมชโยมาดำเนินคดีตามกฎหมาย แม้ถ้าหมายศาลหมดอายุก็ยังมีกฎหมายมาตรา 44 สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้ เมื่อคืนที่ผ่านมานายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกวัดพระธรรมกาย ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจกองปราบปรามแล้ว ก่อนให้ประกันตัว พร้อมเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศและยุยงปลุกปั่น” พล.ต.ท.ชาญเทพ กล่าว

ด้าน พ.ต.ท.กฤษณะ กล่าวถึงการดำเนินคดีกับพระธัมมชโยในส่วนของ ตร. ว่า ในส่วนของตร.มีการดำเนินคดีกับวัดพระธรรมกายไปแล้ว 300 กว่าคดี โดยใน 300 คดีนี้ เราแยกเป็น 10 กลุ่มกว่าคดี ซึ่งคดีที่เกิดขึ้นอยู่ในหลายพื้นที่ทั้งที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จ.ตาก จ.เลย และจ.พังงา ซึ่งเป็นคดีประเภทบุกรุกที่ดิน และเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.ป่าไม้ โดยมีมีร้อยละ 70 ของจำนวนดังกล่าว เป็นการดำเนินคดีกับพระธัมมชโยโดยตรง ซึ่งเป็นข้อหาที่ท่านมีการกระทำความผิดขึ้นจริง

ผู้สื่อข่าวถามว่า การดำเนินการกับพระธัมมชโยในครั้งนี้ จะดำเนินการอย่างไรบ้าง พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า การปฏิบัติการครั้งนี้ คำสั่ง คสช. ให้อำนาจหน้าที่เจ้าหน้าที่ และประกาศพื้นที่วัดพระธรรมการเป็นพื้นที่ควบคุม ซึ่งเราก็จะปิดพื้นที่วัดพระธรรมกายและกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่ควบคุม จากนั้น เราจะแสดงหมายค้นและขอเข้าทำการตรวจค้น ทั้งนี้ เราก็อยากขอความอนุเคราะห์ไปทางพระภิกษุสงฆ์ และบรรดาอุบาสกอุบาสิกาที่อยู่ภายในวัดว่าอย่าขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ และขอให้ความร่วมมือด้วย ใครที่แสดงอาการขัดขืนและขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่จะมีความผิดตามกฎหมาย ดังนั้น เมื่อได้ตรวจค้นแล้วทางเราก็จะพิสูจน์ทราบว่าพระธัมมชโยอยู่ภายในวัดหรือไม่ ถ้าอยู่เราก็จะดำเนินการตามกฎหมาย

เมื่อถามต่อว่า เราจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันนี้หรือไม่ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า เราต้องประเมินสถานการณ์ หากทางวัดยินยอมก็จะดำเนินการให้เสร็จภายในวันนี้ ซึ่งสถานการณ์จะยืดเยื้ออย่างไรหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์ตรงหน้าของผู้บัญชาการเหตุการณ์ ทั้งนี้ เราจะเริ่มใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก โดยขั้นตอนแรกเราจะเจรจาก่อน ทั้งนี้ เราไม่สามารถตอบได้ว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าไหร่

เมื่อถามด้วยว่า หากวันนี้ยังไม่สามารถเข้าค้นวัดพระธรรมกายและจับกุมพระธัมมชโยได้ จะดำเนินการอย่างนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆใช่หรือไม่ พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ใช่ เราจะทำต่อเนื่อง โดยคำสั่ง คสช. สามารถให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง โดยหมายค้นนั้นศาลได้มีการกำหนดวันไว้ แต่เราไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ในคำสั่งคสช.ระบุไว้ว่าให้เราปฏิบัติการได้จนกว่าจะแล้วเสร็จ สามารถเข้าตรวจค้นได้ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน

ซึ่งทางศาลได้ให้ความกรุณาเรา เพราะการขอหมายค้นครั้งนี้ เราได้นำพยานหลักฐานในการเข้าค้นครั้งที่ผ่านมา เพื่อนำเสนอให้ศาลเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะถูกลูกศิษย์วัดต่อต้าน หากดำเนินการจะทำให้เกิดความเสียหาย รวมถึงภาพถ่ายในการเข้าตรวจค้นด้วย ทำให้เราต้องหมายค้นทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องหลายวัน พร้อมกับขออภัยประชาชนในความไม่สะดวกในเรื่องการจราจรบริเวณโดยรอบวัดด้วย

เมื่อถามด้วยว่า การตรวจค้นครั้งนี้จะต้องตรวจค้นทุกอาคารภายในวัดพระธรรมกาย หรือเฉพาะเป้าหมายที่ดีเอสไอขอไว้ พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า เบื้องต้นก็จะเอาจุดที่เราคาดว่าจะอยู่ก่อน ซึ่งเป็นพื้นที่ 196 ไร่ และจะดำเนินการตามกฎหมาย โดยหลีกเลี่ยงความรุนแรง ทั้งนี้ การตรวจค้นในวันนี้ปราศจากอาวุธ โดยรวมตรวจค้นกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายปกครอง ดีเอสไอ และเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ทั้งนี้ ทางการข่าวยังระบุว่าพระธัมมชโยยังอยู่ในวัด แต่เราจะพิสูจน์ทราบก็ต่อเมื่อเราเข้าไปตรวจค้นตามอาคารต่างๆเรียบร้อยแล้ว

“ที่จริงแล้ว ผมพยายามนำเสนอมาตั้งแต่แรกแล้วว่า เราไม่ได้ดำเนินคดีกับพระธัมมชโยกลุ่มเดียว ผู้ที่รับเช็คจากสหกรณ์ฯคลองจั่น 878 ฉบับ มีทั้งหมด 8 กลุ่ม ทุกกลุ่มเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาและได้รับการประกันตัวออกไป คงมีแต่น.ส.ศศิธรกับพระธัมมชโยที่ไม่มารายงานตัว กลุ่มอื่นมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหมดแล้ว บางคดีศาลก็ได้มีการตัดสินไปแล้ว และบางคดีก็อยู่ในชั้นอัยการและศาล ตามกฎหมายเมื่อท่านถูกกล่าวหาก็ต้องมารับทราบข้อกล่าวหา และต่อสู่ในกระบวนการยุติธรรม” พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าว

ผบช.ภ.1 กล่าวถึงการขอใช้กฎหมายพิเศษ ว่า เราต้องการประกาศให้คนที่อยู่ภายในวัดออกมา และบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องก็ขอให้ออกมา รวมถึงเพื่อไม่ให้มีคนเข้าไปภายในวัด หากไม่สามารถกลับภูมิลำเนาได้เราก็จะมีรถรับส่งให้ อีกทั้ง ที่ผ่านมา เราได้ใช้กฎหมายปกติในการดำเนินการแล้ว แต่ก็มีปัญหา จึงจำเป็นต้องเสนอใช้กฎหมายพิเศษเพื่อทำการควบคุมพื้นที่ ทั้งนี้ กำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และดีเอสไอ รวมกว่า 3,000 คน ในการปฏิบัติการครั้งนี้ ก็เพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนด้วย

เมื่อถามว่า มีประเมินเรื่องมือที่ 3 หรือไม่ พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า เราก็มีความกังวลใจอยู่ ซึ่งการที่เรานำกำลังเจ้าหน้าที่มาจำนวนขนาดนี้ ก็เพราะกังวลใจเรื่องมือที่ 3 และจะสร้างความวุ่นวายขึ้น อีกทั้ง เราได้กำชับเจ้าหน้าที่ด้วยว่าไม่มีอาวุธ และการปฏิบัติแต่ละขั้นตอนจะมีการชี้แจงข้อกฎหมายให้ทราบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า การปฏิบัติการครั้งนี้จะรวมถึงการนำตัวนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย มาดำเนินคดีด้วยหรือไม่ พล.ต.ท.ชาญเทพ กล่าวว่า สำหรับนายองอาจได้เดินทางเข้ามอบตัวที่สภ.คลองหลวง และกองบังคับการปราบปรามแล้วเมื่อคืนนี้ ซึ่งก็ได้ประกันตัวออกไปแล้ว ส่วนรายละเอียดอื่นๆนั้น ขณะนี้ตนยังไม่ได้รับรายงาน ซึ่งเป็นการปล่อยตัวชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศและห้ามยุยงปลุกปั่น หากผิดเงื่อนไขก็สามารถเพิกถอนประกันตัวได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน