เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 ก.พ. ที่ประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน และเครือข่ายคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน จากพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา และ อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ นำโดยนายประสิทธิ์ชัย หนูนวล ผู้ประสานงานเครือข่ายฯ และม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร พร้อมด้วยเครือข่ายกว่า 200 คน นัดรวมตัวบริเวณศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ถนนพิษณุโลก เพื่อติดตามผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติ (กพช.) ที่จะมีหารือถึงความชัดเจนในการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้ โดยระหว่างรอผลการประชุม ทางเครือข่ายฯ เดินขบวนรอบทำเนียบรัฐบาล เพื่อแสดงพลังคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกว่า 60 นาย วางกำลังดูแลความสงบเรียบร้อย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่เครือข่ายฯ เดินขบวนเพื่อแสดงออกในการคัดค้าน ได้ชูธงและป้ายเป็นข้อความต่างๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อาทิ คนกระบี่ไม่เอาถ่านหิน และปกป้องชาติด้วยการปฏิเสธถ่านหิน เป็นต้น

นายประสิทธิ์ชัย กล่าวว่า ทางกลุ่มยืนยันไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน และขอเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนพลังงานทดแทนที่ผลิตจากปาล์มน้ำมัน เพราะมีประสิทธิภาพเพียงพอมากกว่าพลังงานถ่านหิน และไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเป็นการหมุนเวียนเศรษฐกิจใจพื้นที่ ตามที่เคยเสนอไปก่อนหน้านี้ หากที่ประชุมวันนี้มีมติให้ยกเลิกโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ก็จะแยกย้ายเดินทางกลับ แต่ถ้ามีมติให้เดินหน้าก่อสร้างต่อ ทางเครือข่ายจะปักหลักคัดค้านต่อไป

ต่อมาเวลา 12.20 น. นายประสิทธิ์ชัย กล่าวหลังจากทราบผลการประชุม กพช. ที่มีมติเดินหน้าโครงการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ว่า เป็นที่ชัดเจนที่รัฐบาลทหารภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ละเลยความถูกต้องที่ควรจะเกิดขึ้นแก่ระบบไฟฟ้าของประเทศ ความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อมและชีวิตของประชาชน โดยเลือกที่จะสนับสนุนกลุ่มทุนฟอสซิลหรือถ่านหิน แทนที่จะสนับสนุนทุนท้องถิ่นให้ผลิตพลังงานไฟฟ้าทดแทน หรือพลังงานหมุนเวียนจากปาล์มน้ำมัน แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ไม่ฟังเสียงประชาชน รัฐบาลไม่เคารพสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจท้องถิ่น และสุขภาพของประชาชน

ผู้ประสานงานเครือข่ายฯ กล่าวต่อว่า พื้นที่กระบี่และทะเลอันดามันทำรายได้จากการท่องเที่ยวปีละประมาณ 4 แสนล้านบาท อีกทั้งกระบี่ยังเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติแสนกว่าไร่ เป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของอันดามัน รวมถึงพืชการเกษตร ซึ่งมีแนวโน้มต้องเสียหายจากการเดินหน้าโครงการของรัฐบาลนี้ ซึ่งเครือข่ายปกป้องอันดามันยืนยันที่จะต่อสู้คัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าต่อไป แม้จะมีประชาชนถูกดำเนินคดีก็ตาม หากกระะบี่ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ยังถูกทำลาย พื้นที่อื้นๆ ก็จะไม่เหลือเช่นกัน โดยหลังจากนี้ชาวบ้านทางภาคใต้จะยกระดับรวมตัวกันคัดค้านด้วยเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สถานการณ์เริ่มตรึงเครียดขึ้นเมื่อทางเครือข่ายปกป้องอันดามันฯ พร้อมใจกันเดินข้ามฝั่งจากหน้าศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มายังด้านหน้าประตู 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยปักหลักชุมนุมและแสดงความไม่พอใจรัฐบาลด้วยการตะโกนไม่เอาถ่านหินติดต่อกันกว่า 10 นาที และพยายามดันรั้วเหล็กกีดขวางออก ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ให้การคุ้มกันประตูทางเข้าอย่างแน่นหนา

ต่อมาเวลา 13.30 น. กลุ่มเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน นำมวลชนที่รวมตัวกันบริเวณศูนย์บริการประชาชนมารวมตัวบริเวณประตู 2 เชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ และร้องตะโกน “ชาวกระบี่ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไม่เอาทรราช” พร้อมปักหลักนั่งชุมนุมคัดค้าน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความเรียบร้อย จนพ.ต.อ.เกียรติ กาบบัว ผู้กำกับการตำรวจสันติบาล 3 สั่งการให้ตำรวจสันติบาลทำเนียบรัฐบาล เตรียมความพร้อมและปิดประตูเข้าออก ป้องกันเหตุ โดยมีตำรวจพื้นที่สน.ดุสิต ประกาศขอความร่วมมือให้ผู้ชุมนุมอยู่ในความสงบ และให้กลับไปรวมตัวกันบริเวณศูนย์บริการประชาชน ตามที่ขออนุญาตชุมนุม หากยังไม่แยกย้ายกระจายไปพักภายในสำนักงาน ก.พ.ซึ่งอยู่ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล แต่การเจรจาไม่เป็นผล ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการประสานขอหมายศาลเพื่อดำเนินการตามกฎหมายให้กลับไปชุมนุมในพื้นที่ที่ขออนุญาตไว้ เนื่องจากมีการทำผิดเงื่อนไขการขออนุญาตชุมนุม

นายประสิทธิชัย กล่าวว่า แถลงว่าแกนนำตัดสินใจจะปักหลักชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ไม่กลับบ้าน เพื่อรอดูว่ารัฐบาลจะทนกับการที่ประชาชนมารวมตัวหน้าทำเนียบรัฐบาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้นานแค่ไหน เราจะชุมนุมจนกว่ารัฐบาลจะสั่งยุติโครงสร้างก่อสร้าง จึงขอให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบมารวมตัวกันเพื่อคัดค้าน เพราะการตัดสินใจครั้งนี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน แต่เอื้อแก่กลุ่มทุนมาโดยตลอดและกำลังทำลายสิ่งแวดล้อม โดยที่ผ่านมาเห็นแล้วว่าการบริการงานของรัฐทำเงินประเทศหายไปกว่า 4 แสนล้านบาท

“เรามาจากกระบี่เตรียมตัวมาหมดแล้ว เราจะปักหลักตรงนี้ ไม่ไปไหนการถูกจับเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเรา และคิดว่าน่าจะมีการวช้กำลังเข้าสลายมวลชน ทุกคนจึงเตรียมรับมืออยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นที่จับตาของทั่วโลก เพราะกระบี่เป็นเมืองท่องเที่ยว การตัดสินใจของนายกฯถือว่าประจานตัวเองว่าอยู่ข้างนายทุนมากกว่าประชาชน และหลอกคนทั้งโลกว่าเศรษฐกิจพอเพียงแต่กลับทำลายสิ่งแวดล้อม การที่นายกฯให้เหตุผลในการสร้างโรงไฟฟ้าฯ เพื่อความมั่นคงทางพลังงานในภาคใต้และอ้างว่าต่างประเทศก็ทำนั้น เป็นเหตุผลที่ไม่มีภาวะผู้นำ เพราะการที่ไฟฟ้าในภาคใต้ดับ เป็นปัญหาจากสายส่งที่ไฟไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะมีการระดมแนวร่วมเข้ามาชุมนุม และอาจมีเครือข่ายประชาชนชายแดนภาคใต้เข้ามาร่วมด้วย เพราะเรื่องดังกล่าวนี้เกี่ยวกับการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม จึงคิดว่าอายุของรัฐบาลจะอยู่ไม่นาน ส่วนจะเป็นการต่อต้านรัฐบาลเลยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลเอง” นายประสิทธิชัย กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน