นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก Somsak Jeamteerasakul มีเนื้อหาดังนี้

…..

ยกเว้นไม่กี่บรรทัดแรกๆนี้ ข้อความข้างล่าง ผมเขียนเมื่อวันที่ 26 มกราคม แต่เขียนแล้วไม่ได้โพสต์ เหตุที่เอามาโพสต์วันนี้ เพราะมีอัพเดตสิ่งที่่เขียนไป

แม่ผมถึงแก่กรรมวันนี้ เวลาเมืองไทยราวบ่ายโมง

ถ้าใครอ่านข้างล่าง จะเห็นว่าวันที่ผมเขียน (26 มกราคม – 10 วันหลังแม่เข้าโรงพยาบาล) ผมเล่าว่าแม่ถูกนำเข้าไอซียู หลังจากนั้น แม่อยู่ไอซียูหลายวัน แล้วย้ายออกจากไอซียูมาอยู่ห้องธรรมดา อาการของแม่ ไม่ได้ดีขึ้น แต่อ่อนแรงลงเรื่อยๆ รู้สึกตัวน้อยลงเรื่อยๆ

แม่อายุ 95

…………………

คนส่วนใหญ่ที่สุด ใช้เฟซบุ๊คเขียนโน่นนี่ เรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของตัวเอง (กิน เที่ยว อาชีพการงาน คนรัก ครอบครัว ฯลฯ) ซึ่งเป็นปกติ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร ชอบอ่านเหมือนกัน แต่ผมเองตั้งใจแต่แรกที่ใช้เฟซบุ๊คในลักษณะเป็นการทำงานสาธารณะหรืองานการเมืองอย่างหนึ่งด้วยเหตุผลหลายอย่าง เช่น ผมไม่ชอบพูดเรื่องอะไรที่มีลักษณะส่วนตัวของตัวเอง และเมื่อเขียนแต่เรื่องสาธารณะเป็นหลักแล้ว ผมก็รู้สึกเหมือนมีข้อผูกพันบางอย่างกับคนอ่านด้วย คือคนอ่านมาอ่านเฟซบุ๊คผม ด้วยความเข้าใจหรือความคาดหวังที่จะอ่านเรื่องที่เป็นสาธารณะ

เกริ่นยืดยาวเช่นนี้ เพื่อจะบอกว่า กระทู้นี้เป็นข้อยกเว้น ที่จะเขียนนี้ เป็นเรื่องส่วนตัวมาก ดังนั้น ขออภัยล่วงหน้าสำหรับผู้เข้ามาอ่านประจำที่ต้องการจะอ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสาธารณะเท่านั้น กระทู้นี้เป็นเหมือนการระบายเรื่องส่วนตัวล้วนๆ

…………..

ตั้งแต่วันอังคารที่แล้ว (17 มกราคม 2560) แม่ผมป่วยกะทันหัน เข้าไปนอนในโรงพยาบาล (จนถึงวินาทีนี้) นี่เป็นการป่วยนอนโรงพยาบาลที่ยาวที่สุดในชีวิตแม่ที่ผมเคยจำได้ คือปกติ แม่เป็นที่สุขภาพดีในระดับที่ไม่เคยต้องป่วยนอนโรงพยาบาลขนาดนี้ แม้ในหลายปีหลังที่แม่อายุมากขึ้นๆ ก็ไม่เคยต้องป่วยขนาดนี้ (ปีนี้ แม่อายุ 95)

ตอนแรกที่เข้านอนโรงพยาบาลเมื่ออังคารก่อน หมอก็บอกว่า มาจากอาการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร แต่รักษาไปๆ แม้เชื้อจะหมด แต่แม่ก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก มีอาการป่วยอื่นๆตามมาอีก จนไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ทางบ้านผมได้ส่งข่าวมาบอกว่า แม่ถูกนำเข้าห้องไอซียู

ตลอด 10 วันที่ผ่านมา ทุกวินาที ทั้งตื่น และแม้แต่ตอนนอน ผมใจคอไม่ดีมาก พยายามใช้ชีวิตปกติ อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ทำงานอื่น หรือพยายามนอนให้หลับปกติ แต่ทุกวินาทีที่รู้สึกตัว (หรือแม้ตอนนอนที่ไม่ค่อยรู้สึกตัว) ก็จะใจสั่น จิตใจไม่ดี ต้องต่อสู้กับความคิดและความรู้สึกหลายอย่างมากๆ

ตั้งแต่แรกที่ลี้ภัย ผมรู้ตัวว่า โอกาสที่ผมจะได้กลับเมืองไทยในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ (ไม่ใช่แค่โอกาสน้อย แต่เป็นไปไม่ได้) อันที่จริง ผมทำใจว่า ตัวเองอาจจะตายที่เมืองนอกด้วยซ้ำ ผมไม่เคยมีมายากับตัวเองในแง่ความหวังจะกลับเมืองไทย อย่างน้อยอาจจะเป็นสิบปี ซึ่งในเวลาที่นานขนาดนั้น ตัวเองอาจจะไม่ได้มีชีวิตถึงก็ได้ อันนี้ผมโอเคกับมันในแง่เข้าใจว่า คงต้องเป็นแบบนี้

แต่นอกจากความคิดถึงชีวิตเมืองไทย คิดถึงงาน คิดถึงบ้าน คิดถึงผู้คนหลายคน ซึ่งก็เป็นความลำบากใจที่ผมต้องดีลกับมันเป็นปกติ บางครั้งรุนแรง บางครั้งไม่รุนแรงมาก .. สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกแย่มากๆ รู้สึกผิด และความรู้สึกอีกหลายอย่าง (ดังที่ผมเคยเขียนไปบางครั้ง) คือเรื่องแม่ ตอนผมลี้ภัยมา แม่ก็อายุเกิน 90 แล้ว ถ้าผมต้องอยู่นอกประเทศหลายปี อย่างต่ำเป็นสิบปี โอกาสที่จะได้เจอแม่ ก่อนที่แม่เองจะหมดอายุขัยตัวเอง แทบเป็นไปไม่ได้

ตั้งแต่เริ่มขอสถานะลี้ภัยตอนมาถึงใหม่ๆ ผมก็คาดหวังหรือวางแผนคร่าวๆว่า ถ้าได้สถานะลี้ภัย และได้หนังสือเดินทาง ผมคงหาทางพยายามเดินทางกลับไปแถวๆประเทศไทย ประเทศใดประเทศหนึ่งที่ไม่ไกลนัก และขอให้ทางครอบครัวพาแม่ออกมาพบกัน

โชคไม่ดี แม้ผมจะได้สถานะลี้ภัยในเวลาไม่นานนัก (ตามระบบที่นี่) คือตั้งแต่ต้นๆปี 2558 แต่กว่าผมจะได้หนังสือเดินทาง ก็เพิ่งปลายปีที่ผ่านมา (2559) คือไม่กี่เดือนที่แล้วนี้เอง เมื่อได้หนังสือเดินทาง ผมก็พูดกับทางบ้าน ถึงไอเดียเรื่องที่ผมจะเดินทางไปแถวประเทศไทย และขอให้ทางบ้านพาแม่ออกมา เพื่อจะได้พบกันสักครั้ง แต่แม่เองและญาติๆทุกคน บอกว่า แม่คงเดินทางไม่ไหวแล้ว เพราะแก่มาก ร่างกายอ่อนแอทรุดโทรมมาก แม้ผมจะพยายามชักชวนหรือเสนอหนทางโน่นนี่ ก็ไม่สำเร็จ ทั้งแม่และทางบ้านยืนยันแน่นอนว่า แม่คงไม่สามารถเดินทางไปไหนได้แล้ว เมื่อเดือน-2 เดือนที่แล้ว เมื่อผมได้รับการยืนยันเรื่องนี้ว่า ไอเดียเรื่องจะได้พบแม่ เป็นไปไม่ได้แน่แล้ว ผมรู้สึกแย่ไปหลายสัปดาห์ (เรื่องที่ว่า ผมบังเอิญได้หนังสือเดินทางช้านั้น อันที่จริง คิดว่า ต่อให้ผมได้ทันทีในปีแรก แม่และครอบครัวก็คงยืนยันว่า ไม่สามารถทำได้อยู่นั่นเอง)

…………….

ช่วง 10 วันที่ผ่านมา อย่างที่บอกว่า ผมใจคอไม่ดีอยู่ทุกวินาที แต่ถ้าใครพอจำได้ หรือลองไล่เรียงหน้าวอลล์เฟซบุ๊คผม ก็คงเห็นว่า ผมโพสต์กระทู้อยู่ตลอด หรือไปคอมเม้นท์ที่นั่นที่นี่บ้าง ส่วนหนึ่ง เพราะผมเป็นคนที่ฝรั่งเรียกว่า compartmentalize คือ “แบ่งส่วน” การคิดและอารมณ์ เป็นส่วนๆได้ในระดับหนึ่ง (อะไรคือความคิดหรืออารมณ์ในเรื่องการเมือง-สาธารณะ อะไรคือความคิดหรืออารมณ์ส่วนตัว) แต่อีกส่วนหนึ่ง การเขียนเรื่องสาธารณะ ก็มีส่วนทำให้เอาใจออกจากสภาพใจคอที่ไม่ดีได้บ้าง (แน่นอน ในที่สุดแล้ว คงไม่มีใครรวมทั้งผมเอง compartmentalize ได้ทั้งหมดหรือโดยสิ้นเชิง)

จริงๆ ต้องสารภาพว่า ใน 10 วันที่ผ่านมา มีหลายครั้ง ที่ผมคิดๆจะเขียนเรื่องแม่ป่วย เพื่อ “ระบาย” ความรู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจ ออกมาเป็นตัวอักษร เผื่อจะช่วยทำให้ใจคอสงบบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่ทำ เพราะรู้สึกมันเป็นเรื่องส่วนตัวมากเกินไป

กระทู้นี้ ส่วนหนึ่ง มาจากที่ได้ข่าวไม่กี่นาทีที่ผ่านมาว่า แม่เข้าไอซียู (จริงๆหลายวันที่ผ่านมา เมื่ออาการแม่ ไม่ยอมหายปกติเสียที และมีโน่นนี่ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ผมก็เริ่มตระหนักแล้วว่า ร่างกายภายในของแม่คงกำลัง shutting down คือส่วนต่าง มันเริ่ม “ปิดตัวเอง”) และผมยอมรับว่า ผมรู้สึกเครียดภายในเกินกว่าจะไม่เขียนระบายอะไรออกมา แต่อีกส่วนหนึ่ง ก็เผื่อว่า สมมุติถ้าครั้งนี้ แม่ไม่ได้กลับออกมาจากโรงพยาบาลอีก ผมจะได้ไม่ต้องมาเล่าเรื่องทำนองแบ๊คกราวน์การป่วยของแม่ และเรื่องที่เล่าไปข้างบนอีก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน