เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 21 ก.พ. ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษ และรอง โฆษกดีเอสไอ ร่วมกันแถลงผลข้อสรุปในการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ร่วมกันบูรณาการในการเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกาย

พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ กล่าวว่า ในวันนี้ทางเจ้าหน้าที่พยายามต่อรองเจรจาในหลายจุดของแต่ละโซนทั้งเอและซี ซึ่งพยายามเข้าไปเพื่อขอทำการตรวจค้น มีคำถามว่าทำไมใช้มาตรา 44 แล้ว ยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธภาพ ซึ่งหลักการของมาตรา 44 นั้นเป็นเรื่องของการยกเว้นทั่วไปของกฎหมาย ทั้งนี้เรื่องของการปฎิบัติต้องดำเนินการตามกระบวนการและตามขั้นตอนของกฎหมายไม่อาจละเมิดสิทธิของผู้อื่นได้และต้องดำเนินตามกรอบแบบแผนที่ได้วางเอาไว้มาโดยตลอด อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะดำเนินการต่อไปไม่ได้หมายความว่าอยากจะเข้าไปจับหรือเข้าไปค้นก็สามารถดำเนินการได้ ซึ่งทุกครั้งที่ลงพื้นที่จะต้องมีการพูดคุยเพื่อต่อรองกันเพื่อให้ได้ข้อยุติ ถ้าสุดท้ายไม่ได้ข้อยุติทางเจ้าหน้าที่ก็มีแผนรองรับ มีข้อสรุปว่าในเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันพรุ่งนี้ ถ้าไม่ยังไม่เป็นไปตามแบบแผนที่วางไว้ ก็ต้องมีการปรับแผนใหม่ในการดำเนินการต่อไปเพื่อให้เกิดผลในการดำเนินการให้ได้

พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ที่ไม่สามารถดำเนินการได้นั้นเนื่องจากในแต่ละที่มีประชาชนเข้าไปรวบรวมกำลังกัน รวมทั้งมีการทุบกำแพงเข้าไป การที่มีประชาชนเข้าไปเป็นจำนวนมากนั้น เราต้องดำเนินตามสถานการณ์ในการปฎิบัติแต่ละวัน คาดว่ามีเฉพาะลูกศิษย์วัดพระธรรมกายประมาณ 2,000 คน ซึ่งคืนนี้จะต้องมีการต่อรองเจรจากันต่อ ส่วนในวันพรุ่งนี้ต้องมีการจัดแผนวางกำลังกันใหม่ในแต่ละประตูของจุดเป้าหมายและจะต้องให้เกิดการกระทบกระทั่งกันให้น้อยที่สุด รวมทั้งต้องหาทางหนีทีไล่หากเกิดเหตุมีมือที่ 3 เข้ามาก่อความวุ่นวาย ก่อนเจรจากับทางวัดว่าในเวลา 10.00 น. จะสามารถยอมให้ทางเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นได้หรือไม่

เนื่องจากว่าทางวัดนั้นมีทั้งพระและกลุ่มมวลชนได้ทำการต่อต้าน หากตกลงกันได้ก็จะสามารถยุติปัญหา ในปัจจุบันก็มีกระแสว่าพระธัมมชโยอยู่ในวัดหรือไม่ จึงอยากเรียนถึงประชาชนทุกท่านหากไม่อยู่ในวัดก็ไม่จำเป็นต้องไปต่อต้านทางเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะไปดำเนินการตามกรอบของกฎหมาย ทางเจ้าหน้าที่ก็มีอีกหลายหน่วยงานที่จะเข้าไปดูแลความเรียบร้อยรวมทั้งให้ความเป็นธรรมในการดำเนินการ นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวที่ว่าจะมีการยึดวัดหรือไปดำเนินการกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอยากประชาสัมพันธ์ในเรื่องนี้ด้วยว่า ทางเจ้าหน้าที่ไม่มีการดำเนินการเช่นนี้อย่างแน่นอน ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษเรียนผู้ที่อยู่ภายในวัดแม้กระทั่งพระสงฆ์ที่อยู่ภายในวัดก็ขอให้อย่าไปหลงเชื่อบุคคลที่พยายามปลุกปั่น ยั่วยุ ทำให้เกิดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น ส่วนที่มีการยั่วยุว่าหากออกมาจากวัดจะถูกดำเนินคดีนั้นไม่เป็นความจริงทุกประการ ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ต้องการเพียงแค่ดำเนินการกับตัวบุคคลเท่านั้น

พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ กล่าวอีกว่า พื้นที่ของวัดพระธรรมกายค่อนข้างกว้าง ส่วนหนึ่งก็มีผู้ลักลอบเข้าไปภายใน ในแต่ละประตูทางเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจค้นและปิดกั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ต้องเข้าไปภายในเพื่อทำการตรวจค้นเพิ่มเติม เพื่อสามารถตอบสังคมได้ทุกเรื่องในสิ่งที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการไปนั้นว่าครบถ้วนทุกกระบวนการ หากเข้าไปตรวจค้นไม่พบตัวพระธัมมชโยก็คิดว่าคงจบไป หมดอำนาจในมาตรา 44 ทั้งนี้การออกมาตรา 44 เพื่อดำเนินการกับตัวบุคคลตามหมายจับ เห็นว่าเข้าไปแล้วเกิดการปะทะและมีผลกระทบตามมากับบุคคลที่มีการต่อต้าน เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องออกกฎหมายฉบับนี้ออกมา

ทั้งนี้มีหน่วยงานอีกหลายหน่วยที่ร่วมเข้ามาร่วมสังเกตการณ์ในการปฎิบัติหน้าที่ ถ้ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ก็มีสายด่วนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) หมายเลข 1377 ได้ตลอด นอกจากนี้มาตรา 44 นั้นใช้ด้วยเหตุจำเป็นเพื่อดำเนินการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ หากการดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จและยังไม่สามารถดำเนินการได้ก็ยังไม่มีเหตุจำเป็นในการยกเลิก

ด้านพ.ต.ต.วรณัน เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้ที่เดินทางออกมาจากวัด ฝั่งริมถนนบริเวณคลองหลวงประมาณ 900 ราย และฝั่งประตู 8 มีผู้ออกมาแล้วประมาณ 300 ราย ส่วนประเด็นเรื่องคดีความมีทั้งหมด 313 คดี เป็นคดีเดิมที่ทางพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการก่อนจะใช้กฎหมายพิเศษ ทั้งหมด 308 คดี คดีใหม่ที่เกิดภายใต้คำสั่งคสช.มีทั้งหมด 5 คดี โดยคดีแรกเป็นคดีพระราชบัญญัติน้ำบาดาล โดยกรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ร้องทุกข์ดำเนินคดี คดีที่ 2 คดีพระราชบัญญัติการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทางเจ้าหน้าที่สามารถตรวจพบได้ภายในช่วงท้ายวัด คดีที่ 3 เรื่องการทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน รวมทั้งในคำร้องเดียวกันก็จะมีเรื่องของการเปิดช่องทางเพื่อจะให้มีคนเติมเข้าไปภายในวัด คดีที่ 4 เป็นการตรวจค้นพบอาวุธปืน และสุดท้ายก็เป็นการทำร้ายเจ้าพนักงานอีกเช่นกันซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนของตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการจนเป็นเหตุให้ได้รับอาการบาดเจ็บ 3 ราย

นอกจากนี้โฆษกดีเอสไอ ยังยืนยันว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าไม่มีการปิดกั้นพระสงฆ์และสามเณร ที่จะเดินทางไปสอบเปรียญธรรม โดยมีการนิมนต์พระรัตนสุธี เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี มาร่วมยืนยันด้วย โดยทางเจ้าคณะจังหวัดให้ข้อมูลว่า ได้มีการประสานเพื่อขอแก้ปัญหาหลายครั้ง ทั้งการขอให้พระธัมมชโยติดต่อเข้ามอบตัว และการตรวจสอบใบสุทธิพระกว่า 1,000 รูปที่อยู่ภายในวัดพระธรรมกาย โดยทางวัดได้ส่งตัวแทนเป็นพระฝ่ายบริหารมาพูดคุย แต่ก็ยังไม่สามารถได้ข้อสรุป

ขณะที่ตัวแทนทางสำนักงานพระพุทธศาสนา เปิดเผยว่า สมเด็จพระสังฆราช ทรงห่วงใยกรณีที่เกิดขึ้น โดยให้เลขาประจำพระองค์ โทรศัพท์เข้ามาสอบถามกับสำนักพระพุทธศาสนา ถึงปัญหาและการแก้ไข ซึ่งสำนักพระพุทธศาสนายืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจในการแก้ปัญหา จึงได้ประสานกับเจ้าคณะจังหวัด และฝ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันหาทางออกร่วมกัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน