เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 1 มี.ค. ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 (บก.ตชด.ภ.1) พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักษ์ศักดิ์สกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะโฆษก ดีเอสไอ กล่าวถึงผลการประชุมประเมินสถานการณ์และแนวทางปฏิบัติการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย ว่าในวันนี้เจ้าหน้าที่จะติดประกาศห้ามประชาชนและพระสงฆ์เข้าพื้นที่ตลาดกลางคลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของเจ้าของพื้นที่ หากพบการฝ่าฝืนหรือขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่จะถูกดำเนินคดีทั้งหมด โดยมาตรการดังกล่าวเป็นการยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพ

ที่ผ่านมาได้เก็บหลักฐานภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวไว้หมดแล้ว พร้อมกับได้ออกหมายเรียกให้แกนนำและพระสงฆ์บางส่วนเข้าชี้แจง โดยมีพระเข้าพบตามหมายเรียกเพียง 1 รูปเท่านั้น พร้อมกับได้ออกหมายเรียกแกนนำและพระสงฆ์ รวม 30 คน

พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า ซึ่งในจำนวน 30 คน เจ้าหน้าที่ได้ออกหนังสือเรียกให้มารายงานตัว คือนายอัยย์ เพชรทอง, นางกชกร ไชยวาน และนายพยุง อุณหิต โดยให้มารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ ที่บก.ตชด.ภ.1 ในวันที่ 3 มี.ค.นี้ หากไม่มีก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายด้วยการออกหมายจับเพื่อให้ได้ตัว ทั้งนี้ ทางการข่าวพบว่ามีอดีตส.ส.พรรคการเมืองหนึ่งเข้ามาเคลื่อนไหวในการชุมนุม เจ้าหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์หากมีการกระทำผิดก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายทันที โดยการประกาศของเจ้าหน้าที่มีจุดประสงค์เพียงต้องการนำคนออกนอกพื้นที่ ไม่ต้องการให้มีการปลุกระดมหรือยกระดับการชุมนุมเป็นเรื่องทางการเมือง หรือถูกใช้เป็นเงื่อนไขก่อเหตุรุนแรง

รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงการดำเนินการกับพระสงฆ์ที่ตั้งเต็นท์ชุมนุมรอบวัดพบว่าอาจมีพระปลอมแฝงตัวรวมอยู่ด้วย ดังนั้น เจ้าหน้าที่จะร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และตำรวจ ทำการคัดกรองพระภิกษุ หากพบว่าไม่ใช้พระจริง ก็จะดำเนินคดีข้อหาแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่จะอำนวยความสะดวกการเข้าออกวัดและจัดอาหารพร้อมทั้งยาเข้าไปภายในวัด

พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ ยังกล่าวถึงการติดตามตัวพระธัมมชโย ผู้ต้องหาตามหมายจับทางการข่าวยังเชื่อว่าพระธัมมชโยยังหลบซ่อนอยู่ภายในวัด โดยภายในวัดพบว่ายังมีความพยายามสร้างสิ่งกีดขวางทั้งการขุดวางท่อ และการตั้งถังน้ำมัน พฤติการณ์หลายอย่างชัดเจนว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งมีการแจ้งเตือนไปยังวัดไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ควบคุมอีก สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นเพียงการเรียกติดตามการทำงานตามกฎหมายให้เป็นไปตามที่ประกาศคำสั่งกำหนดและให้เกิดความเรียบร้อย ให้ทำงานให้มีประสิทธิภาพที่สุด

รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวต่อว่า วันนี้เวลา 15.00 น. จะมีการประชุมร่วมกับชุดปฏิบัติการเพื่อทำความเข้าใจการใช้กฎหมายดำเนินการกับบุคคล ยานพาหนะ และสิ่งกีดขวางเช่นกรณีที่มีการสนับสนุนเต้นท์มาตั้งในจุดต่างๆ ว่าจะมีการออกหมายเรียกหรือดำเนินคดีฐานขัดคำสั่งคสช.อย่างไรบ้าง โดยย้ำว่าเจ้าหน้าที่เฝ้าติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด กรณีดังกล่าวจะจับพระธัมมชโยได้หรือไม่ก็ต้องดำเนินคดีผู้ฝ่าฝืนตามกฎหมาย

ด้าน พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษ และรองโฆษก ดีเอสไอ กล่าวว่า กรณีออกหมายเรียกพระสงฆ์ 14 รูปให้เข้ารายงานตัว ขณะนี้ครบกำหนดเข้ารายงานตัวแล้วตั้งแต่วันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่พบว่ามีเพียงพระมหานพพร เพียงรูปเดียวที่เข้ารายงานตัว หลังรายงานตัวแล้วพบว่าพระมหานพพรได้ลดบทบาทการเคลื่อนไหวของตัวเองลง ส่วนพระที่เหลืออีก 13 รูป ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษฐานขัดคำสั่งคสช.ไว้ที่สภ.คลองห้า หลังจากนี้ตำรวจจะออกหมายเรียกและหมายจับต่อไป

พ.ต.ต.วรณัน กล่าวถึงกรณีหมายค้นวัดพระธรรมกายที่มีกระแสข่าวว่าครบกำหนดหมายค้นในวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า ตามคำสั่งคสช.ที่ 5/2560 ได้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่เข้าไปภายในเคหะสถานเพื่อตรวจค้นโดยไม่จำเป็นต้องมีหมายค้นอยู่แล้ว และเจ้าพนักงานเองก็มีทั้งกำลังพลและเครื่องมือพร้อมหมด แต่เหตุที่เรายังไม่ได้เข้าปฏิบัติการตรวจค้นก็เพราะเราไม่อยากให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ซึ่งเรากำลังดูปัจจัยที่เหมาะสมในการเข้าตรวจค้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า ดีเอสไอไม่จำเป็นต้องขอหมายค้นอีกใช่หรือไม่ พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า ไม่จำเป็น ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่า หมายค้นที่ได้มาในรอบแรกคือเจ้าหน้าที่ไปขอหมายค้นก่อน จากนั้น จึงมีการประกาศใช้กฎหมายมาตรา 44 และเมื่อกฎหมายาตรา 44 ให้อำนาจในการตรวจค้นอยู่แล้ว ก็ไม่เหตุจำเป็นที่จะต้องไปขอหมายค้นอีก และเป็นการปฏิบัติต่อเนื่องอยู่แล้วด้วย

เมื่อถามด้วยว่า แสดงว่าหมายค้นครั้งแรกครบกำหนดแล้วเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา รองโฆษก ดีเอสไอ กล่าวว่า ทางการข่าวเป็นอย่างนั้น คือหมดเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ดังนั้น หลังจากนี้จึงเป็นการตรวจค้นตามคำสั่ง คสช. ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน