เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 (บก.ตชด.ภ.1) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ดูแลอาคารสถานที่ภายในวัดพระธรรมกาย กว่า 10 คน เดินทางเข้ารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้ว พร้อมทั้งนำเอกสารระบุตัวตนมาด้วย หลังจากเมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ลงนามในคำสั่งเรียกผู้ดูแลอาคารสถานที่ภายในวัดพระธรรมกาย รวม 19 ราย

ทั้งนี้ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษกดีเอสไอ เป็นผู้พาขึ้นไปรายงานตัวต่อพ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักคดีพิเศษภาค และพ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ยังบริเวณชั้น 2 อาคารบก.ตชด.ภ.1 โดยคาดว่าจะมีการสอบถามในประเด็นการทำหน้าที่ดูแลอาคารและการปฏิบัติหน้าที่ว่าแต่ละคนมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง

ต่อมาเวลา 10.30 น. นายวุฒิสาร พนารี ผู้ประสานงานมวลชนวัดพระธรรมกาย พร้อมด้วยนายอัยย์ เพรชทอง ลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย เข้าพบดีเอสไอตามคำสั่งเรียกให้มารายงานตัว ฐานขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งมาตรา 44 โดยนายวุฒิสาร กล่าวยืนยันว่า จะปฏิบัติตามเงื่อนไขของเจ้าหน้าที่หากมีคำสั่งหรือระเบียบใดๆ ทั้งนี้ ตนขอปฏิเสธว่าที่ผ่านมา ไม่ได้ปลุกปั่น เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานเท่านั้น

ด้าน นายอัยย์ เปิดเผยว่า ในวันนี้ตนมาในฐานะเป็นผู้ให้กำลังใจ เพราะคดีของตนอยู่ระหว่างเตรียมเข้าพบพนักงานอัยการในวันที่ 22 มี.ค.นี้ ที่ศาลธัญบุรี โดยเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการขัดขวางและปลุกระดมในพื้นที่ ตามมาตรา 44 อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไม่ได้ห้ามอะไรตน นอกจากการห้ามเข้าพื้นที่บริเวณวัดพระธรรมกายและตลาดกลางคลองหลวง จ.ปทุมธานี ร่วมถึงให้งดการให้สัมภาษณ์ใดๆที่จะเป็นการปลุกระดม ทั้งนี้ ตนจะปฏิเสธทุกกล่าวหาในชั้นศาล

ต่อมาเวลา 11.00 น. ที่บก.ตชด.ภ.1 พ.ต.ต.วรณัน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ทางวัดพระธรรมกายชี้แจงประเด็นการขุดคูคลองบริเวณอาคารบุญรักษา และอ้างว่าถังน้ำมันที่นำมาตั้งไว้เป็นถังเปล่าใช้ เพื่อขึงเต็นท์นอน ว่า เป็นคำชี้แจงที่ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีทหารเข้าไป ดังนั้น การที่ทางวัดอ้างว่ามีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายบุกรุกเข้าไปก็ไม่เป็นความจริง เพราะชัดเจนแล้วว่าเป็นทหาร

ส่วนถังน้ำมันที่อ้างว่านำมาขึงเชือกผูกสแลนกันแดดนั้น ก็รับฟังไม่ได้ เพราะถังน้ำมันมีความสูงประมาณ 100 เซนติเมตร หากนำมาขึงจริง คาดว่าผู้ที่อยู่ภายในจะต้องนั่งตลอดเวลาหรืออาจตัวเล็กมาก พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดบริเวณอาคารบุญรักษาจึงมีมวลชนและพระจำนวนมาก ซึ่งหากไม่มีสิ่งสำคัญก็คงไม่มีระบบป้องกันเข้มงวด

รองโฆษกดีเอสไอ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ที่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ในบริเวณดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้บันทึกภาพถ่ายทั้งหมดไว้แล้ว และหากเรายังไม่สามารถจับกุมตัวได้ ก็จะใช้วิธีการร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีเหมือนกับกรณีของพระเสกสรรที่มีการร้องขอให้ดำเนินคดี เพราะพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษตามคำสั่ง คสช.ที่ 5/2560 และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งแล้วว่าห้ามทำกิจกรรมใดๆ ในพื้นที่ ซึ่งในส่วนนี้ฝ่ายกฎหมายจะเป็นผู้ดำเนินการ

พ.ต.ต.วรณัน กล่าวต่อว่า พื้นที่บริเวณอาคารบุญรักษาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นของเอกชน โดยในวันนี้ที่ประชุมจึงมีมติทำหนังสือเรียกเข้ารายงานตัวเพื่อชี้แจงเหตุผลการให้บุคคลเข้าใช้พื้นที่ เนื่องจากเป็นพื้นที่หวงห้าม แต่กลับยังมีการฝ่าฝืนคำสั่งสร้างสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงออกหนังสือเรียกผู้มีชื่อครอบครองรถยนต์ที่จอดอยู่ภายในวัด เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีคำสั่งชัดเจนให้ออกนอกพื้นที่ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการดำเนินการจึงต้องเรียกให้มาชี้แจงว่า เป็นเจ้าหน้าที่ของวัดหรือไม่ ซึ่งเป็นการออกคำสั่งเรียกให้มารายงานตัวอีก 96 คน รวมบุคคลที่ดีเอสไอออกคำสั่งเรียกให้มารายงานตัวแล้วประมาณ 164 คน ส่วนกรณีชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณรอบพื้นที่ที่ขุดคูคลองของทางวัดพระธรรมกายนั้น ขณะนี้ทางฝ่ายอำเภอได้เข้าไปดูแลในส่วนนี้แล้ว

พ.ต.ต.วรณัน กล่าวอีกว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ดูแลสถานที่และอาคารภายในวัดพระธรรมกาย ที่ถูกออกคำสั่งเรียกให้มารายงานตัวต่อดีเอสไอ เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา เดินทางเข้ารายงานตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว จำนวน 15 คน และก่อนหน้านี้อีก 2 คน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบปากคำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ร่วมกับกองบินตำรวจ โดยนำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินสำรวจจากบก.ตชด.ภ.1 จำนวน 1 ลำ เพื่อบินสำรวจทางอากาศบริเวณรอบพื้นที่วัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่อาคารบุญรักษา ที่มีการขุดคูคลองและพบถังน้ำมัน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนจาก ภ.จว.ลพบุรี, ภ.จว.ชัยนาท และภ.จว.อ่างทอง รวม 5 กองร้อย ได้ทยอยมารอการสับเปลี่ยนกำลังกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณรอบพื้นที่วัดพระธรรมกาย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน