เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย ถนนพญาไท พล.ต.อ.สุวิระ ทรงเมตตา ที่ปรึกษาสบ.10 พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง ผบก.สท. พ.ต.อ.ญาณพงศ์ โสมาภา รองผบก.น.9 พ.ต.ท.กฤษาพร ปานโปร่ง รองผกก.สส.1 ภ.3 ร่วมกันแถลงสรุปกรณีคดีแชร์ลูกโซ่ยูฟัน หลังศาลสั่งจำคุก 22 จำเลย 12,255 ปี ยกฟ้อง 21 คน เพื่อชี้แจงขั้นตอนให้ผู้เสียหายรับทราบ และประชาสัมพันธ์ถึงผู้เสียหายที่ยังไม่เข้าแจ้งความว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง

อ่านข่าว พิพากษาจำคุก “เกย์นที” คดีแชร์ยูฟัน อ่วม 12,257 ปี ยกฟ้อง “ศิริโชค สิริวรรณภา”

พล.ต.อ.สุวิระ กล่าวว่า ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้ง 22 ราย คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน หรือค่าสินไหมทดแทนกับผู้เสียหาย กรณีนี้ผู้เสียหายทั้ง 2,451 ราย เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยทั้ง 22 ราย ซึ่งขั้นตอนในการดำเนินการต่อไปหลังจากนี้อีก 30 วัน (22 เม.ย.) จำเลยจะต้องชดใช้ให้กับผู้เสียหายตามคำพิพากษา หากจำเลยไม่ชดใช้ตามคำพิพากษา ผู้เสียหายในคดีจะต้องดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอให้ออกคำบังคับ เมื่อศาลออกคำบังคับแล้ว จากนั้นจึงนำไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี และดำเนินการบังคับคดีต่อไป

ที่ปรึกษาสบ.10 กล่าวต่อว่า ศาลมีคำพิพากษาให้คืนทรัพย์เมื่อ 22 มี.ค. ซึ่งจำเลยจะต้องจ่ายคืนให้กับผู้เสียหายภายในวันที่ 22 เม.ย. หากยังไม่มีการคืน ผู้เสียหายจะต้องยื่นคำร้องให้ศาลบังคับคดี เมื่อศาลออกหมายบังคับคดี ก็จะมีการตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เมื่อตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำสืบทรัพย์สินของจำเลยทั้ง 22 ราย ว่าอยู่ที่ไหนบ้าง เมื่อทราบก็จะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์ ขายทอดตลาด และนำทรัพย์สินมาคืนให้กับผู้เสียหายทั้ง 2,451 ซึ่งคดีนี้ไม่ต้องรอผลอุทธรณ์ ฎีกาว่าเป็นอย่างไรสามารถบังคับนำทรัพย์สินคืนผู้เสียหายได้เลย

พล.ต.อ.สุวิระ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้เสียหายที่ได้มาลงมอบอำนาจให้กับมูลนิธิทนายชาวบ้านดำเนินการ ผู้เสียหายเหล่านั้นก็จะมีคนดำเนินการเรื่องให้เรียบร้อย ส่วนผู้เสียหายที่ยังไม่ได้มาลงชื่อมอบอำนาจให้ทนายดำเนินการก็ขอให้เร่งรีบมาลงนามในหนังสือมอบอำนาจให้เรียบร้อย มิเช่นนั้นแล้วผู้เสียหายจะต้องไปดำเนินการด้วยตนเอง ส่วนผู้เสียหายอีกส่วนหนึ่งที่ได้ดำเนินการไว้ที่โรงพักทั่วประเทศและพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ก็อยู่ในกระบวนการพิจารณาคดีของศาลก็ให้เร่งรีบติดตามผลคดีและนำผลคดีมาดำเนินการในขั้นตอนบังคับคดีต่อไป

“สำหรับผู้เสียหายที่ได้แจ้งความเป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจทั่วประเทศ ขอให้ไปดำเนินการเปลี่ยนเป็นการแจ้งความร้องทุกข์ เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาที่กระทำผิดจนกว่าคดีจะถึงที่สุด และกลุ่มผู้เสียหายที่ยังไม่เคยแจ้งความร้องทุกข์ที่ไหนเลย ซึ่งทราบว่ามีจำนวนมาก ขอแนะนำวิธีการปฏิบัติให้รีบไปแจ้งความสถานีตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุ โดยดูจากการโอนเงินว่าได้โอนเงินให้กับกลุ่มผู้ต้องหาที่ไหน หรือธนาคารที่โอนเงินนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่โรงพักใด หรือสถานที่ที่กลุ่มบ.ยูฟันและพวกได้มาชักชวนให้ร่วมลงทุนที่สถานที่ใด” พล.ต.อ.สุวิระ กล่าว
ที่ปรึกษาสบ.10 กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีท้ายคำร้องที่มีการยื่นต่อศาลให้ยึดของกลางตกเป็นของแผ่นดิน มีช่องทางดำเนินการมาคืนให้กับผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ในการริบทรัพย์สิน นอกจากศาลจะมีอำนาจริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้อีกด้วย ตามวรรค 2 ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยกระทำความผิด ซึ่งตนตั้งใจเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้ เพื่อเป็นของขวัญให้กับผู้เสียหายทั้ง 2,451 รายให้ได้รับเงินคืนโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ภายหลังศาลมีคำพิพากษาออกมาแชร์ลูกโซ่ลักษณะนี้ชะงัก และลดลงไปเยอะ ขณะเดียวกันยังมีบุคคลที่ข่มขู่ผู้เสียหายไม่ให้มาเข้าแจ้งความเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีผู้เสียหายที่ยังไม่ได้แจ้งความ ได้ติดต่อขอความช่วยเหลือกับตนอีกหลายรายมีมูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาทอีกด้วย
ทั้งนี้ผลสรุปการดำเนินคดีบ.ยูฟัน สโตร์ จำกัด มีผู้ต้องหาถูกออกหมายจับ 164 ราย ประกอบด้วยนิติบุคคล 4 ราย บุคคลธรรมดา 160 ราย เป็นผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมแล้ว 98 ราย มีผู้ต้องหาที่หลบหนี 66 ราย มีผู้เสียหาย 2,451 คน ซึ่งได้เข้าแจ้งความที่บก.ปคบ. 1,039 คน แจ้งความที่ สน.,สภ. 1,412 คน มูลค่าความเสียหาย 351,556,314 บาท ยึดทรัพย์ผู้ต้องหารวมจำนวน 839,782,500 บาท โดยได้มีการกระทำผิดใน 6 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ข้อหาร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง และดำเนินการในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจขายตรง
โดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ที่คำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น และร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรง โดยดำเนินกิจการไม่เป็นไปตามแผนการจ่ายตอบแทนของตนที่ได้ยื่นต่อนายทะเบียนไว้ ตามพ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 ข้อหาร่วมกันประกอบธุรกิจบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาต ข้อหาร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และข้อหาฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติพ.ศ.2556

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน