ด่วน! ผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย “ประยุทธ์ ถวายสัตย์ไม่ครบ” วันนี้ ทันที

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 27 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินมีการประชุมพิจารณากรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นายอัยย์ เพชรทอง เลขาธิการองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ และนายภาณุพงศ์ ชูรักษ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ขอให้พิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง วินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่

เวลา 11.55 น. นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงภายหลังการประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินว่า ที่ประชุมมีมติให้ส่งเรื่องพร้อมความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 46 พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 เพื่อให้วินิจฉัยว่าการที่นายกรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญและละเมิดสิทธิเสรีภาพของนายภาณุพงศ์ ชูรักษ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงที่เป็นผู้ยื่นคำร้องหรือไม่ โดยผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะชี้แจงมาว่า ก่อนเข้ารับหน้าที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้ว เป็นการกระทำที่ครบถ้วนตามกระบวนการและขั้นตอน ถือว่าการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ได้ปฏิบัติสำเร็จโดยสมบูรณ์ ทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัย แต่รัฐธรรมนูญตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง ระบุ “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้…”

เมื่อนายกฯ กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ จึงเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญไปด้วย รวมถึงมีปัญหา ในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของนายภาณุพงศ์ในฐานะผู้ร้องเรียน เป็นเหตุให้ได้รับความเดือดร้อนหรือโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้

จึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 46 พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 และเป็นไปตามนัยมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ โดยผู้ตรวจการแผ่นดินจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในช่วงบ่ายวันเดียวกัน (27 ส.ค. เวลาประมาณ 14.00 น.) ส่วนรัฐบาลจะต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนหรือไม่ เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณา

อย่างไรก็ตามในส่วนของคำร้องของนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย และนายอัยย์ เพชรทองเลขาธิการองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ ร้องในประเด็นเดียวกันว่าหากการที่นายกฯ ถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองนั้น

เมื่อผู้ตรวจฯ พิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีการถวายสัตย์ไม่ครบเป็นเรื่องของการกระทำ ไม่ใช่บทบัญญัติกฎหมาย จึงไม่ได้เป็นประเด็นว่าข้อความหรือถ้อยคำในการกล่าวถวายสัตย์มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ที่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ และเมื่อเป็นการกระทำก็เห็นว่าไม่ใช่การกระทำทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง จึงมีมติให้ยุติเรื่องในส่วนของ 2 คำร้องนี้

สำหรับกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ขอให้พิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 46 พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรและประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 252 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ ห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้

การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามมาตรา 159 เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 วรรคหนึ่ง ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ซึ่งถือเป็นบทยกเว้นมาตรา 159 วรรคหนึ่งและวรรคสาม

แม้ไม่ได้บัญญัติยกเว้นมาตรา 159 วรรคสอง ไว้ด้วยก็ตาม แต่มาตรา 159 วรรคสอง เป็นเพียงกำหนดหลักเกณฑ์ในการเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

ซึ่งจากคำชี้แจงของนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้จัดให้มีการเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีส.ส. เสนอชื่อจำนวน 2 ท่าน คือ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และมีส.ส.รับรองโดยเปิดเผยไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนส.ส.ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ โดยไม่มีส.ส.คนใดเสนอรายชื่อเพิ่มเติม ประธานรัฐสภาจึงดำเนินการให้สมาชิกรัฐสภาอภิปรายและให้ความเห็นชอบต่อไป

จึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 159 วรรคสอง การกระทำของประธานรัฐสภาจึงไม่เป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ไม่ได้มีลักษณะเป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และฟังไม่ได้ว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจึงให้ยุติเรื่อง


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน