ทางหลวงดีเดย์ ให้ซิ่ง 120 กม./ชม. ช่องขวาสุด อัดงบ 600 ล้าน อัพเกรดคุณภาพถนน

เมื่อวันที่ 20 พ.ย. นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการเปิดให้ทำความเร็วได้ 120 กม./ชม. สำหรับถนนที่มี 4 ช่องจราจรขึ้นไป เพื่อระบายการจราจรให้คล่องตัวตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ว่า ภายในปีนี้ ทล.จะเริ่มนำร่องเปิดให้รถยนต์สามารถใช้ความเร็ว 120 กม./ชม. เฉพาะช่องทางขวาสุดเริ่มเฟสแรก บนถนนทางหลวงหมายเลข 32 บางปะอิน-นครสวรรค์ เฉพาะระยะทาง 50 กิโลเมตรก่อน

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

โดย เริ่มต้นจากกิโลเมตรที่ 2-51 ช่วงบางปะอินเชื่อมกับสายเอเชีย และในปี 64 จะเปิดให้ใช้ความเร็วได้เพิ่มเติมอีก 100 กิโลเมตรที่เหลือ รวมเป็นครบตลอดเส้นทางรวมเป็นระยะทางทั้งสิ้น 150 กิโลเมตร เนื่องจากทางช่วงเฟส 2 จะต้องมีการปรับปรุงสภาพทาง จุดกลับรถ และอุปกรณ์ป้องกันอันตราย

“กรมทางหลวงจะต้องของบประมาณปี 63 และ64 รวมประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อนำเงินไปปรับปรุงสภาพถนนเส้นดังกล่าวให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยก่อนที่จะเปิดให้ใช้ความเร็วได้ 120 กม./ชม. โดยจะต้องปรับปรุงจุดกลับรถ 44 แห่ง ก่อสร้างทางลอดกลับรถเพิ่มเติม 3 แห่ง สร้างสะพานกลับรถ และติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย ซึ่งในอนาคตถนนเส้นนี้จะไม่มีทางกลับรถพื้นราบอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้การขับขี่มีความปลอดภัยและอุบัติเหตุลดลง”

นายสราวุธ กล่าวต่อว่า ในปี 64 ทล.มีแผนที่เร่งขยายจำนวนถนนที่สามารถใช้ความเร็ว ได้ 120 กม./ชม. เพิ่มเติมอีกจำนวน 4 เส้นทางคือ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข1(พหลโยธิน) ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข2 (มิตรภาพ) ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข3 ( สุขุมวิท) และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 (เพชรเกษม) ส่วนทางหลวงหมายเลข 36 (ระยอง)

จากการศึกษาพบว่าไม่สามารถปรับให้ใช้ความเร็ว120กม./ชม.ได้ โดยระหว่างนี้ ทล.อยู่ระหว่างบูรณาการร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมการขนส่งทางบก เพื่อดำเนินการออกประกาศกฎกระทรวง ภายใต้ พร.บ.ทางหลวง เพื่อกำหนดอัตราความเร็ว120กม./ชม.ช่องขวาสุดเพื่อบังคับใช้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม จากเก็บสถิติความเร็วรถยนต์บนถนน 4 ช่องจราจรของกรมทางหลวงพบว่ารถยนต์ 60% มีการใช้ความเร็วเกินกว่า 90 กม./ชม. ซึ่งเกินกว่าความเร็วสูงสุดที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงคมนาคมที่ต้องการให้มีการปรับเพิ่มความเร็วรถช่องทางขวาสุด บนถนนที่มีช่องจราจามากกว่า 4 ช่องขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อให้เร่งระบายการจราจรให้คล่องตัวยิ่งขึ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน