สามีร้อง “ยธ.” ช่วยเหลือภรรยาหลังตกเป็นผู้ต้องหารวมกันชิงทรัพย์สร้อยคอ-สร้อยข้อมือที่จ.ตรัง ยันวันเกิดเหตุอยู่คนละจังหวัด เผยลูกสาวโพสต์ภาพขณะกินข้าวลงเฟซบุ๊ก แต่ห็นเพียงแขนของเมียเท่านั้น รองปลัดยธ. สั่งการให้คณะทำงานลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่พบข้อพิรุธหลายอย่าง

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 27 เม.ย. ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) นายอาคม เสนาคง ชาวจ.ภูเก็ต เดินทางเข้าร้องเรียนต่อ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอความช่วยเหลือกรณีนางศุภนุช บัวสนิท ภรรยา ที่ตกเป็นจำเลยในคดีร่วมกันลักทรัพย์ หลังถูกศาลอุทธรณ์ภาค 9 ตัดสินจำคุก 5 ปี และขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดตรัง

นายอาคม กล่าวว่า คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 พ.ค.2558 โดยนายคมสัน ฝันนิมิตร ชาวจ.ตรัง ถูกคนร้ายมอมยาในสุราให้ดื่ม ก่อนถูกลักทรัพย์เป็นสร้อยคอทองคำ 2 เส้น และสร้อยข้อมือทองคำ 1 เส้น มูลค่ารวมประมาณ 1 แสนบาท ภายในโรงแรมแห่งหนึ่งใน ต.ทับเที่ยง จ.ตรัง และเข้าแจ้งความต่อตำรวจสภ.เมืองตรังว่า นางศุภนุช และนางจุไรรัตน์ บัวสนิท พี่สาว ร่วมกันมอมยาลักทรัพย์ ซึ่งวันเกิดเหตุดังกล่าว ตนพาภรรยาและลูกสาวไปรับประทานอาหาร และซื้อชุดนักเรียนที่ห้างสรรพสินค้าโลตัส ป่าตอง จ.ภูเก็ต กระทั่งในช่วงเย็นจึงเดินทางกลับบ้านพัก โดยลูกสาวตนได้โพสต์ภาพขณะรับประทานอาหารลงบนเฟซบุ๊กด้วย แต่ภาพดังกล่าวเห็นเพียงแขนของนางศุภนุชเท่านั้น

นายอาคม กล่าวต่อว่า ปลายเดือนมิ.ย.2558 ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกนางศุภนุชและนางจุไรรัตน์ เพื่อเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งทั้งสองคนก็เดินทางไปพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกเพื่อพิสูจน์ความจริง ก่อนถูกดำเนินคดีดังกล่าว เนื่องจากผู้เสียหายมีการนำภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดมามอบให้พนักงานสอบสวน พร้อมระบุว่าบุคคลที่ปรากฎในภาพคือนางศุภนุช ซึ่งถูกบันทึกไว้ได้ภายในร้านอาหารบ้านฉาน จ.ตรัง แต่ตนก็ยืนยันไปแล้วว่าบุคคลในภาพไม่ใช่นางศุภนุช

นายอาคม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ นางศุภนุชและนางจุไรรัตน์ เคยประกอบอาชีพเป็นหมอนวดภายในโรงแรมที่เกิดเหตุ แต่ก็ได้ลาออกจากงานและย้ายบ้านไปอยู่ที่จ.ภูเก็ต ตั้งแต่ปลายปี 2557 แล้ว และไปประกอบอาชีพขายข้าวแกงกับตนที่วินรถแท็กซี่ บริเวณหน้าโรงแรมแห่งหนึ่งในจ.ภูเก็ต

ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่นางศุภนุชจะเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีของนางจุไรรัตน์นั้น ศาลยกคำฟ้องแล้ว เนื่องจากมีพยานหลักฐานเป็นการตอกบัตรเข้าทำงานที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.ภูเก็ต ส่วนนางศุภนุชไม่มีพยานหลักฐานอื่นไปแสดงจึงทำให้ถูกศาลตัดสินดำเนินคดีดังกล่าว

ด้าน พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวว่า นายอาคมเข้าขอความช่วยเหลือที่ยุติธรรมจังหวัดภูเก็ตแล้ว เนื่องจากภรรยาตกเป็นจำเลยคดีร่วมกันลักทรัพย์ จึงประสานมายังกระทรวงยุติธรรม ซึ่งจากกรณีดังกล่าวต้องสอบพยานทุกปากก่อนว่า นางศุภนุชเป็นคนร้ายเพราะอะไร รวมถึงหาพยานหลักฐานมาหักล้างเรื่องถิ่นที่อยู่ โดยคดีนี้มีความคล้ายคลึงกันกับคดีของพนักงานสปาในพื้นที่ ต.กะรน จ.ภูเก็ต และ เหตุเกิดในพื้นที่จังหวัดตรังเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลนางศุภนุชเคยทำงานโรงแรมใน ต.ทับเที่ยง จ.ตรัง ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุประมาณ 9 ปี จนถึงปลายปี 57 ก่อนย้ายมาอยู่ จ.ภูเก็ต กับนายอาคม และอาจทำให้เกิดความข้อมูลคลาดเคลื่อน

พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวต่อว่า ในวันที่ 6 พ.ค.นี้ ตนสั่งการให้คณะทำงานลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่พบข้อพิรุธหลายอย่าง เช่น การไม่ส่งตัวผู้เสียหายตรวจสุขภาพหลังถูกมอมยา, การชี้ภาพนางศุภนุชเป็นผู้ต้องหา อีกทั้งพนักงานโรงแรมดังกล่าวต้องรู้จักกับนางศุภนุชบ้าง และการแจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ เพราะที่จริงแล้วน่าจะเป็นข้อหาชิงทรัพย์มากกว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับหลักฐานการโพสต์เฟซบุ๊กของลูกสาวผู้ต้องหา เพื่อยืนยันสถานที่ได้เห็นเพียงแขนนางศุภนุชเท่านั้น ทำให้เราต้องใช้เวลาในการพิสูจน์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน