จับตา บิ๊กตู่ จ่อขยายพรก.ฉุกเฉิน-เคอร์ฟิว สรุปงาน 10 ศูนย์ก่อนผ่อนปรน ร้านเหล้า-สถานบันเทิงยังไม่ให้เปิด สั่งสธ.ประเมินผ่อนคลายข้อกำหนดบางเรื่อง

เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. ในระดับหัวหน้าศูนย์ทั้ง 10 ศูนย์

มีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกทม. นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล และอดีตรมว.สาธารณสุข นพ.อุดม คชินทร อดีตรมช.ศึกษาธิการ ร่วมประชุม เป็นต้น

เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์และสรุปความคืบหน้าการทำงานแต่ละด้าน ขณะที่นายกฯ สั่งเตรียมข้อมูลต่างๆ ให้ครบถ้วนรอบด้านก่อนพิจารณาผ่อนปรนมาตรการ รวมถึงให้ศึกษาจากต่างประเทศที่ผ่อนปรนมาตรการแล้ว มีปัญหาอะไรหรือไม่ เพราะแม้ขณะนี้ประเทศไทยจะมีตัวเลขดีขึ้น แต่ต้องนำข้อมูลต่างๆ มาดูและเตรียมพร้อมก่อนพิจารณา คาดว่าจะพิจารณาโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ ที่ประชุมนำเสนอผลดำเนินการแต่ละด้านที่สำคัญ ประกอบด้วย มาตรการสาธารณสุข นำเสนอภาพรวมการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกและไทย ของไทยกำหนดกลุ่มตรวจเฉพาะให้มากขึ้น โดยใช้พัฒนาการตรวจ เช่น ตรวจสายน้ำเกลือ และจากการประเมินสถานการณ์ การเปรียบเทียบกราฟ เห็นว่าแนวโน้มลดลง

ด้านมาตรการลดการแพร่เชื้อภายในประเทศ ใช้มาตรการค้นหาและลดจำนวนคนแพร่เชื้อในชุมชน ร่วมกับมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อในโรงพยาบาล ลดความหนาแน่น จัดระบบแยกผู้ป่วยและป้องกันบุคคลากรทางการแพทย์ ควบคู่กับมาตรการเว้นระยะห่างระหว่างกัน (Social Distancing) อย่างเข้มข้น

ส่วนปริมาณหน้ากาก N95 และชุด PPE ยังเพียงพอสำหรับการใช้ในปัจจุบันและรองรับได้ในอนาคต ส่วนเตียงผู้ป่วยเมื่อพิจารณาจากสถิติที่คาดว่าจำนวนผู้ใช้จะลดลง จึงยังคงมีเพียงพอสำหรับความจำเป็นในการใช้งาน

ส่วนความก้าวหน้าด้านการวิจัย กระทรวงสาธารณสุขรายงานผลความก้าวหน้าว่า

1.การใช้ฟ้าทะลายโจรสามารถต้านการเพิ่มไวรัสในเซลล์ แนะนำให้ใช้เพื่อการรักษา

2.การพัฒนาวัคซีนทั้งในประเทศและความร่วมมือกับต่างประเทศ เช่น จีน คาดว่าจะพัฒนาได้ภายในปีครึ่ง

3.ตอนนี้เริ่มมีการทดลองวิจัยการนำพลาสมาไปใช้รักษาผู้ป่วย

4.การศึกษา Exit Strategy มีการพิจารณาจากตัวอย่างของต่างประเทศ ในส่วนภายในประเทศ นักวิชาการร่วมกันศึกษา พัฒนาแบบจำลองบูรณาการระบบการแก้ไขปัญหาเพื่อการตัดสินใจทางนโยบายต่อไป

5.ศึกษาความชุกและอุบัติการณ์ของการติดเชื้อ

6. ศึกษาเกี่ยวกับยาฟาวิพิราเวียร์

ด้านการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศรายงานมาตรการเดินทางเข้า-ออกไทยของคนไทยและคนต่างชาติ กระทรวงการต่างประเทศ ออกหนังสือรับรองการเดินทางทางอากาศ และขอความร่วมมือให้อำนวยความสะดวกให้คนไทยตกค้างในต่างประเทศเดินทางกลับไทยโดยเที่ยวบินคาร์โก และเที่ยวบินต่างชาติที่มารับคนชาติของตนในไทย โดยระหว่างวันที่ 4–15 เม.ย. รวม 14 เที่ยวบิน และระหว่างวันที่ 16–19 เม.ย. รวม 8 เที่ยวบิน รวมทั้งสิ้น 22 เที่ยวบิน จำนวนคนไทย 1,326 คน

ทั้งนี้ การผ่านจุดผ่านแดนทางบก 18 เม.ย.กลับสู่ประเทศไทยแล้ว 685 คน จากด่านสุไหงโก-ลก สะเดา ในส่วนแผนรองรับแรงงานต่างด้าวได้กำหนดจำนวนที่จะเข้ามาได้ในแต่ละวันที่รัฐบาลสามารถดูแลได้ และทุกกลุ่มต้องทำตามเงื่อนไขในการออกใบรับรองเข้าราชอาณาจักรของไทย

กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการกระจายหน้ากากและเวชภัณฑ์สำหรับประชาชน ผ่านมาตรการช่วยเหลือและป้องกัน ด้านการคัดกรอง มาตรการการเดินทางเข้า-ออกทางบกผ่านจุดผ่านแดนถาวรทั้ง 40 จุด มีการคัดกรองทุกจุด และความพร้อมในมาตรการ Local Quarantine นั้น รองรับได้ 20,941 คน

ปรับเวลาร้านสะดวกซื้อให้เป็นไปตามมาตรการเคอร์ฟิว คือ ปิดร้านเวลา 22.00-04.00 น. รวมทั้งแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการตามข้อกำหนด เพื่อจัดระเบียบการบริจาคสิ่งของแก่ประชาชนให้เป็นไปตามหลักการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอให้พิจารณาด้านการขนส่งสินค้าที่มีข้อกำหนดและการอนุญาตไว้แล้ว

กระทรวงกลาโหม รายงานการดำเนินการ State Quarantine ว่ามีเอกชนประสงค์เข้าร่วม ซึ่งหน่วยงานพิจารณาร่วมกันเพื่อความปลอดภัยและเหมาะสมคือ กระทรวงกลาโหมและกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รายงานสรุปผลการกระจายหน้ากากอนามัย ตั้งแต่ 30 มี.ค. – 19 เม.ย.จำนวน 37,497,550 ชิ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงท้ายนายกรัฐมนตรีขอบคุณการดำเนินงานของทุกหน่วยงาน รวมถึงการตรวจเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ พบทุกพื้นที่เรียบร้อยดี ขอขอบคุณฝ่ายมั่นคงที่อำนวยความสะดวกให้ประชาชนอย่างดี ทั้งทหาร ตำรวจ พลเรือน กทม. สาธารณสุข ขอบคุณทุกคนที่เสียสละเวลามาปฏิบัติหน้าที่

สำหรับการผ่อนคลายมาตรการ นายกรัฐมนตรีให้แนวทางและข้อพิจารณา โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข หากสถานการณ์ดีขึ้นตามหลักเกณฑ์จะผ่อนปรนในส่วนใดได้บ้าง โดยในภาพรวมให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลัก ผ่านการวิเคราะห์ ศึกษาทางสถิติ พิจารณาว่ากิจกรรมประเภทใดบ้างที่ผ่อนปรนได้ เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพบางประเภทได้ ให้ประชาชนมีรายได้ โดยอาจต้องกำหนดข้อจำกัดเพิ่มเติม อาทิ การเปิดตลาด ประเภทใดเปิดได้บ้าง ดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด และการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ

พร้อมสั่งการทุกหน่วยงาน พิจารณาว่าหากผ่อนคลายจะต้องมีมาตรการเพิ่มเติมเช่นไร ในการปลดล็อกต้องมีมาตรการดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน รวมทั้งพิจารณามาตรการตรวจสอบ การคัดกรองให้เหมาะสม ให้ยังคงเป็นไปตามหลักการ Social Distancing และประชาชนคงเห็นความสำคัญในการดำเนินมาตรการที่ชัดเจน จะได้เกิดความไว้วางใจ ร่วมมือกับรัฐบาล มาตรการ Work From Home ที่ยังต้องใช้จะปรับอย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

นายกรัฐมนตรียังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเกี่ยวกับการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อ ให้เพิ่มการตรวจให้เข้มข้นในกลุ่มเสี่ยง สำรวจกลุ่มคนทำงานที่พบเจอคนจำนวนมาก เช่น แม่ค้า กลุ่มคนที่เคยตรวจไปแล้ว อาจพิจารณาตรวจอีกรอบเพื่อให้มั่นใจ ตลอดจนพิจารณาการสุ่มตรวจแรงงาน ทั้งนี้ ให้สาธารณสุขชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับความก้าวหน้าการวิจัยให้ประชาชนทราบ รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับการ Re-use หน้ากาก N95

ส่วนการเดินทางเข้าประเทศ นายกฯสั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ ชี้แจงให้คนไทยทราบถึงขั้นตอนการดำเนินการ เมื่อเดินทางกลับต้องเข้ากระบวนการ State Quarantine และ Local Quarantine และขอให้กระชับกระบวนการรับคนที่สนามบินให้รวดเร็วขึ้น แต่ต้องปลอดภัย ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงรายงานว่า แก้ไขแล้ว และใช้เวลาเพียง 40 นาที รวมทั้งขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด แก้ปัญหาการเดินทางกลับเข้าประเทศไทยทางบกเพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน

กำหนดในการเดินทางเข้าทางบกผ่านแดนทางภาคใต้ วันละ 350 คน ให้ช่วยกันบริหารจัดการให้ดี ระมัดระวังด้านความปลอดภัย หากทำให้ได้มากก็จะผ่อนคลายความตึงเครียดของคนไทยที่อยากเดินทางกลับบ้าน

ส่วนการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจจำเป็นต้องเดินคู่ขนานกันไป ทั้งการแก้ปัญหาในแต่ละภาคส่วน การร่วมกันทำ Big Data เพื่อทำให้ได้ข้อมูลเดียวกันในทุกส่วนงานมาพิจารณาเพื่อดูแลเรื่องการเยียวยา ฟื้นฟู ทั้งปัจจุบันและอนาคต

รายงานข่าวจากที่ประชุม ศบค.เผยว่า ในการหารือวันเดียวกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงความเป็นห่วงถึงผลกระทบและความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับประชาชน แต่เนื่องจากบางพื้นที่ยังมีจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่จำนวนมาก จึงขอให้กระทรวงสาธารณสุขไปประเมินและหารือกับผู้ประกอบการและร้านค้าที่ได้รับผลกระทบในแต่ละพื้นที่จังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดที่ไม่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อ เพื่อพิจารณาผ่อนปรนมาตรการให้บางอาชีพ โดยย้ำว่าให้เป็นการผ่อนคลายทีละนิด อาทิ ตลาดนัด หรือร้านค้าบางประเภทในห้างที่จำเป็น แต่ต้องมีมาตรการเข้มในการรักษาความสะอาด การสวมหน้ากากอนามัย การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย และการใช้เจลล้างมือ

แต่กรณีร้านเหล้า สถานบันเทิงต่างๆ ยังคงใช้มาตรการเข้มอยู่ต่อไป และยังคงมาตรการเคอร์ฟิวต่อเนื่อง รวมทั้งจะขยายเวลาประกาศใช้พระราชกำหนด(พ.ร.ก.)การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปก่อน ซึ่งไม่น่าจะต่ำกว่า 1 เดือน

นายกรัฐมนตรียังสั่งการเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทั้งตำรวจและทหาร พิจารณาผ่อนผันยานพาหนะบางประเภทที่จำเป็นในการขนส่งเพื่อใช้ประกอบอาชีพ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริง พร้อมเน้นย้ำเรื่องการทำงานที่บ้านหรือ work from home ว่ายังควรดำเนินการต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องขอร้องหน่วยงานราชการและภาคเอกชนต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมครม.วันที่ 21 เม.ย. ยังไม่มีการบรรจุวาระขอขยายเวลาพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรีในฐานะผอ.ศบค.สามารถหยิบยกมาหารือเพื่อขอความคิดเห็นจากที่ประชุมได้ แต่ในทางปโฏิบัติจริงผู้มีหน้าที่เสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ครม.พิจารณา เป็นหน้าที่ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสมช.ระบุ สมช.จะประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนที่จะนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในช่วงกลางสัปดาห์นี้

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน