ผอ.โรงเรียน ยันทำตามขั้นตอน ส่งเด็กนิ้วขาด เพราะปกติก็ให้รปภ.ใช้จยย.ส่งเด็กในกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือป่วย อ้างสะดวกในการจราจร นอกจากอาการหนักจึงใช้รถยนต์ โบ้ยไม่มีพยาบาลประจำและไม่มีความรู้ด้านการแพทย์จึงไม่ได้นำชิ้นส่วนนิ้วที่ขาดไปพร้อมเด็ก มีค่าประกันช่วยได้เต็มที่หนึ่งหมื่นบาท ผู้ปกครองวอนเห็นใจเพราะลูกต้องกลายเป็นคนพิการ อดเป็นทหารตามที่หวังไว้ จี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบโรงเรียนดังกล่าวด้วย
จากกรณีที่ น.ส.ศิริมาส (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี ได้เข้าแจ้งความที่ สภ.เมือง ระยอง กรณีบุตรชายวัย 9 ขวบ ที่เรียนอยู่ชั้น ป.3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในเขต อ.เมือง จ.ระยอง ถูกเพื่อนปิดประตูห้องน้ำหนีบนิ้วนางมือข้างซ้ายจนขาดไปหนึ่งข้อ แต่ครูกลับไม่สนใจปล่อยให้ รปภ.โรงเรียน ขี่จยย.นำส่งรพ.แถมยังไม่ยอมนำชิ้นเนื้อที่ขาดคาประตูมาด้วย จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจึงนำชิ้นเนื้อมาให้ที่โรงพยาบาลแต่อาจสายไปเพราะเซลล์อาจจะตาย จึงไม่รู้ว่าจะต่อได้หรือไม่ ส่วนแพทย์ผ่าตัดช่วยรักษาบาดแผลในเบื้องต้น แต่ยังไม่ยืนยันว่าจะต่อชิ้นส่วนเข้าได้หรือไม่ ถ้าต่อไม่ได้บุตรชายก็ต้องกลายเป็นคนพิการ วอนโรงเรียนรับผิดชอบด้วย ตามข่าวที่ได้เสนอไปแล้ว
ความคืบหน้าเรื่องดังกล่าว เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 มิ.ย. นางสุภลักษณ์ ตั้งกลชาญ ผอ.โรงเรียนเทศบาลวัดโขดทิมทาราม ต.ท่าประดู่ อ.เมือง จ.ระยอง ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า โรงเรียนได้ทำตามขั้นตอน เบื้องต้นเมื่อทราบว่าเด็กนักเรียนบาดเจ็บก็พาเข้าห้องพยาบาลในโรงเรียนทันที แต่เนื่องจากทางโรงเรียนไม่มีพยาบาลประจำ มีเพียงนักโภชนาการที่ช่วยรักษาบาดแผลเบื้องต้น แต่เลือดไหลไม่หยุดจึงได้ให้ทาง นักการภารโรง ที่ทำหน้าที่รปภ.ด้วย เป็นผู้ขี่จยย.ไปส่ง รพ.จุฬารัตน์รวมแพทย์ โดยใช้รถจยย.ไปส่ง เพราะการจราจรติดขัด และ ก็ใช้จยย.ส่งในทุกครั้งที่เกิดกับเด็กที่ป่วยหรือบาดเจ็บ แต่ถ้าอาการหนักก็จะใช้รถยนต์ไปส่งแทน ส่วนกรณีที่ไม่มีครูตามไปด้วย เพราะไม่สามารถทิ้งเด็กในโรงเรียนได้ จึงปล่อยให้ไปกันตามลำพัง ส่วนชิ้นส่วนนิ้วที่ขาดติดอยู่ในประตูห้องน้ำทางครูก็ไม่มีความรู้ทางแพทย์จึงไม่ได้นำไปด้วย แต่ก็นำไปให้ในตอนหลังแล้ว
ผอ.สุภลักษณ์ กล่าวต่ออีกว่า อยากให้ผู้ปกครองเข้าใจว่าทางโรงเรียนได้ทำตามขั้นตอนเต็มที่แล้ว หลังจากเกิดเหตุก็นำตัวส่งรพ.ทันที แล้วทางครูก็ได้ติดตามไปที่รพ.ในตอนหลัง สำหรับเรื่องความช่วยเหลือทางโรงเรียนมีเงินประกันอุบัติเหตุของเด็กนักเรียนที่ช่วยได้สูงสุดจำนวน 10,000 บาทต่อคน กรณีพิการคือต้องอวัยวะขาดหายไปถึงจะเข้าเกณฑ์ คือต้องขาดตั้งแต่ข้อมือลงไปถึงจะได้เงินประกันแต่กรณีนี้ไม่เข้าเกณฑ์ ทางโรงเรียนจึงขอชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นว่าทางโรงเรียนได้ทำตามขั้นตอนอย่างเต็มที่แล้ว และ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก็เกิดจากความซนของเด็กเอง เพราะจำนวนนักเรียนกว่า 1,800 คน ต่อครู77คนจึงดูแลได้ไม่ทั่วถึง ส่วนกรณีครูไม่ไปส่งเด็กไปโรงพยาบาล เพราะไม่สามารถปล่อยเด็กนักเรียนอยู่โดยลำพังเพราะกลัวนักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนอาจจะเกิดเหตุซ้ำซ้อนขึ้นได้ถ้าครูไม่อยู่ จึงต้องให้ รปภ.ไปส่งเพียงลำพัง เพราะไปส่งบ่อยครั้งจึงมั่นใจในความปลอดภัย
สำหรับห้องน้ำที่เกิดเหตุอยู่บนชั้น 2 อาคารตึกอำนวยการของโรงเรียน เป็นห้องน้ำชายห้องที่ 2 เมื่อเข้าไปดูพบว่ายังมีคราบเลือดติดอยู่ทึ่ประตูเป็นรอยมือของน้องที่นิ้วขาด โดยที่ยังไม่มีการล้างคราบเลือดออกแต่อย่างใด
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยัง รพ.จุฬารัตน์ ตึกผู้ป่วยพิเศษ ชั้น 3 ห้อง 310 ซึ่งเป็นห้องที่เด็กนักเรียนเคราะห์ร้ายถูกประตูห้องน้ำหนีบนิ้วจนขาดพักรักษาตัวอยู่ พบกับ น.ส.ศิริมาส มารดาของน้อง โดยขณะนี้ น้องยีนส์ อาการดีขึ้น หลังแพทย์ผ่าตัดเย็บบาดแปลให้เแล้ว โดยการนำเนื้อส่วนอื่นมาปิดแทนเนื้อที่ขาดไป เพราะชิ้นส่วนเนื้อที่นำมาช้าเกินไปทำให้เซลล์ตายหมด จึงต่อไม่ได้ แต่อาการปลอดภัยแล้ว ซึ่งทางแพทย์อนุญาตให้กลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้ แต่ต้องมารับการล้างแผลทุกวันเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ด้าน น.ส.ศิริมาส ร่ำไห้น้ำตานอง เปิดเผยว่า ตนเองรู้สึกเสียใจมากที่บุตรชายต้องมาพิการที่นิ้ว และเสียความรู้สึกกับทางโรงเรียนที่น่าจะมีการดูแลเด็กที่ดีกว่านี้ เพราะตนเองก็มีอาชีพเป็นครูเหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าทำไมหลังเกิดเหตุจึงไม่มีครูมาส่งและน่าจะใช้รถยนต์มาส่งเด็ก หากเด็กนั่งจยย.เกิดวูบขึ้นมาเพราะเสียเลือดมากหรือเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนก็จะหนักกว่าเดิมอีก และชิ้นเนื้อที่ขาดหล่นอยู่ในห้องน้ำ ครูในโรงเรียนก็ทราบดี ยังบอกให้เด็กที่บาดเจ็บไปเก็บเองทั้งที่เลือดพุ่งออกจากมือตลอดเวลาจึงไม่ได้เอามาเพราะเดินไปไม่ไหว ทางครูก็ไม่สนใจจะไปเก็บไว้ให้ ต้องรอจนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วโมงจึงนำมาเพราะตนโทรไปบอกให้ช่วยหาให้ เพราะแพทย์สั่งจึงนำมาให้ แต่ก็สายไป ต่อนิ้วไม่ได้แล้ว
“จึงต้องการให้ทางโรงเรียนรับผิดชอบในเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเท่ากับบุตรชายของตนเป็นคนพิการไปแล้ว ไม่สามารถเป็นทหารตามที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นได้แล้ว ก็รู้สึกเสียใจและไม่เข้าใจเกี่ยวกับระบบการทำงานของโรงเรียนดังกล่าว กับมาตรการในการดูแลเด็กนักเรียน จึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบดูแลเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย” น.ส.ศิริมาส กล่าว
