ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องมือปืนป๊อบคอร์น ชี้ภาพถ่ายไม่อาจยืนยันตัวจำเลยเป็นคนเดียวกันยกประโยชน์ความสงสัยให้จำเลย ลูกสาวอะแกวร่ำไห้หวังความเป็นธรรมสู้คดียันฎีกา ส่วนทนายเตรียมยื่นประกันจำเลย

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 27 มิ.ย. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.1626/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายวิวัฒน์ หรือท็อป ยอดประสิทธิ์ อายุ 27 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฆ่า, พยายามฆ่าผู้อื่น, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ที่สาธารณโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำอาวุธปืนออกนอกเคหะสถานภายในพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ฯ พ.ศ.2490 มาตรา ม.4, 7, 8 ,72 และพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ม.5, 6, 11, ,18

โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 มี.ค.59 เห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนเดียวกับคนร้ายที่สวมชุดดำ ที่มือสวมถุงกระสอบข้าวโพดสีเขียวเหลือง โดยการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 มีอาวุธปืนร้ายแรงที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ ฐานมีอาวุธปืนและพกพาไปในที่สาธารณะที่เป็นความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 4, 7, 8 และ 72 และพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 5, 6, 11 และ 18 และประกาศเรื่องห้ามนำอาวุธออกนอกเคหะสถาน ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมให้ลงโทษทุกกรรม พิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นบทหนักสุด และฐานมีอาวุธปืนและพกพาอาวุธปืน จำคุก 6 ปี แต่คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ มีเหตุให้บรรเทาโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกฐานฆ่าผู้อื่น 33 ปี 4 เดือน และความผิดฐานมีอาวุธปืนและพกพาอาวุธปืน จำคุก 4 ปี รวมจำคุกจำเลย 37 ปี 4 เดือน

โดยวันนี้มีญาติและเพื่อนของจำเลย รวมทั้งญาติผู้สูญเสียมาร่วมฟังจำพิพากษาด้วย ทั้งนี้สำหรับนายวิวัฒน์ตั้งแต่ถูกฟ้อง ตลอดจนการพิจารณาคดีศาลไม่เคยอนุญาตให้ประกันตัว
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า มีประเด็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ คดีนี้โจทก์มีพนักงานสอบสวน ได้สืบสวนทราบว่ามีคนร้ายเกี่ยวข้องกับการยิงรวม 21 คน ในจำนวนนี้มีชายชุดดำคือนายวิวัฒน์จำเลยคดีนี้รวมอยู่ด้วย ดังที่ปรากฏในภาพนิ่งที่เห็นชายชุดดำ ในสถานที่และเวลาเดียวกับที่เกิดเหตุหลายรูป

แม้โจทก์จะมีเทปภาพเคลื่อนไหวและภาพถ่าย จากหนังสือพิมพ์ แต่โจทก์ไม่นำสืบถึงความเกี่ยวข้องหรือนำตัวผู้ถ่ายหรือนำประจักษ์พยานมาเบิกความประกอบให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องภาพมาเปรียบเทียบ กับจำเลย หลักฐานดังกล่าว จึงไม่อาจยืนยันได้ว่าภาพจากกล้องวงจรปิดและตัวจำเลยนั้น เป็นคนๆ เดียวกัน มีเพียงคำให้การของจำเลยที่ให้การรับสารภาพ ซึ่งมีพิรุธเคลือบแคลงสงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องจำเลย แต่ให้คุมขังไว้ระหว่างฎีกา

ภายหลัง น.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง ทีมทนายความจำเลย กล่าวว่าหลังจากนี้เตรียมที่จะยื่นขอประกันตัวนายวิวัฒน์จำเลยหลังจากศาลอุทธรณ์ยกฟ้องแต่ให้ขังไว้ระหว่างฎีกา ซึ่งจากการประเมินเบื้องต้นคาดว่าการประกันตัวจะต้องใช้หลักทรัพย์ 3 ล้าน 7 แสนบาท ซึ่งแม้ตอนนี้เรายังไม่มีหลักทรัพย์ แต่เชื่อว่ายังมีคนที่พร้อมจะช่วย โดยหลังจากศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดีนี้จำเลยเองรู้สึกดีใจมากที่ศาลพิพากษายกฟ้อง

ส่วนหากอัยการโจทก์ยื่นฎีกาเข้ามา ทางทนายความก็เตรียมที่จะแก้ฎีกา แต่หากไม่มีการยื่นฎีกาตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดคดีก็จะถือเป็นที่สิ้นสุดที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง

เมื่อถามว่าผลคำพิพากษาเกินความคาดหมายหรือไม่ น.ส.พวงทิพย์กล่าวว่าเราทราบอยู่แล้วว่าข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นอย่างไรและมีพยานหลักฐานอะไรบ้าง ซึ่งอาวุธปืนที่ทำให้มีคนบาดเจ็บเป็นปืนกระบอกอื่นไม่ใช่ของจำเลย

น.ส.เอื้องฟ้า แซ่ลิ้ว ลูกสาวนายอะแกว ผู้เสียชีวิต ซึ่งขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม เปิดเผยหลังฟังคำพิพากษาทั้งน้ำตาว่า รู้สึกเสียใจไม่คิดว่าศาลจะยกฟ้อง ซึ่งหลังจากนี้ทนายความจะยื่นหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อสู้คดีถึงที่สุดต่อไป ตนก็หวังว่าจะได้รับความเป็นธรรม คดีนี้จับคนร้ายได้เพียงคนเดียว ส่วนเหตุการณ์ในวันนั้น นายอะแกว บิดา ได้มาหาตนที่ทำงานและถูกลูกหลงเสียชีวิต ซึ่งบิดาตนไม่เคยไปร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มไหน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน