เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. นางวาสนา เนินสลุง ตัวแทนกลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้ เปิดเผยว่าหลังจากส่งเรื่องร้องเรียนกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ให้ดำเนินการตามกฎหมายกับ บมจ.เมืองไทยแคปปิตอล (เอ็มทีซี) ตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2561 กรณีปล่อยเงินกู้และเรียกดอกเบี้ยเกินกว่า 15% ตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้กลุ่มผู้ที่ไปกู้เงินได้รับความเสียหาย
ล่าสุดกลุ่มพิทักษ์สิทธิลูกหนี้ ได้รับจดหมายแจ้งจาก ดีเอสไอ เลขที่ ยธ 0805/939 ลงวันวันที่ 29 มิถุนายน 2563 โดย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ผู้อำนวยการกองคดีการเงินและการธนาคารและการฟอกเงิน ระบุว่าพิจารณารับเป็นคดีพิเศษที่จะต้องทำการสอบสวนตาม พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)การสอบสวนคดีพิเศษ พศ. 2547
“จะเดินหน้าเรียกร้องความยุติธรรมต่อไปในทุกช่องทาง เนื่องจากดิฉันและกลุ่มผู้เสียหายถูกเอาเปรียบ เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ความเสียหายเหล่านั้นเกิดขึ้นก่อนปี 2562 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้ามาควบคุมดูแลธุรกิจจำนำทะเบียนรถ อยากเรียกร้องให้นำผู้กระทำผิดมาลงโทษ และคืนดอกเบี้ยส่วนที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด ให้ผู้เสียหายที่มีมากกว่า 10,000 คน”
นางวาสนา กล่าวและว่า จะนำเรื่องปรึกษาสภาทนายความ เพื่อขอความช่วยเหลือในด้านกฎหมาย ให้เข้าไปเป็นโจทก์ร่วมเมื่อคดีขึ้นสู้ชั้นศาล เนื่องจากคู่กรณีเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ส่วนผู้เสียหายเป็นประชาชนมีรายได้น้อย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าคดีนี้เมื่อ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา ดีเอสไอเข้าตรวจค้นสถานที่เป้าหมายจำนวน 3 แห่ง บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ เขตบางพลัด กทม. ศูนย์ประมูลรถบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ต.บ้านสิงห์ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี และศูนย์ประมูลรถบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) อ.เมืองชลบุรี พบสิ่งของที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีอาญา
ในความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 เช่น ข้อมูลสัญญาการกู้ยืมเงินของลูกหนี้บริษัทดังกล่าว เอกสารเกี่ยวกับการประมูลรถยนต์จักรยานยนต์ และเอกสารประกอบอื่นๆ จำนวนมาก