ตร.สรุปคดีบอส ชงฟันขับเร็ว-เสพโคเคน ชี้‘พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ’ไม่บกพร่อง พบมีบิ๊กตร.ระดับรองผบช.มีส่วนทำความผิด แจงปมหมายแดงตำรวจสากล

วันที่ 13 ส.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษตร. พร้อมด้วยพล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.กฤษณะ ทรัพย์เดช จเรตำรวจ พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผบช.น. และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ดุลพินิจตำรวจ กรณีไม่เห็นแย้งอัยการคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส

พล.ต.อ.ศตวรรษ กล่าวว่า ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการเสร็จสิ้นแล้ว โดยพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. สั่งเพิ่มเติม 3 ประเด็น คือ 1.มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนพล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วยผบ.ตร. ว่าการไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ เป็นการกระทำที่ชอบหรือไม่

2.ให้ตั้งชุดพนักงานสอบสวนทำคดีนี้ใหม่ โดยใช้พยานหลักฐานที่รวบรวมมาใหม่ และ 3.มีตำรวจ 11 นายที่เคยเป็นผู้สอบสวนและทำคดีนี้ โดยระบุว่ามีกี่คนที่โดนลงโทษ และที่ไม่โดนลงโทษ ว่าทำอะไรบ้าง ซึ่งบางคนยังเลื่อนตำแหน่งอยู่

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

ด้านพล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวว่า ไล่ไทม์ไลน์เหตุการณ์ตั้งแต่ปี 2555 จนถึงการสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าว แบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงแรก คดีที่อยู่ในอำนาจชั้นพนักงานสอบสวน ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.2555- 4 มี.ค.2556 ช่วงที่สอง ชั้นพิจารณาของพนักงานอัยการ ตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค.2556 – 20 ม.ค.2563 ในชั้นนี้ผู้ต้องหาได้ร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2556

จนทำให้อัยการอาญาใต้ฯ มีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมถึง 10 ครั้ง ซึ่งพยานที่อัยการสั่งให้สอบเพิ่มเติมเป็นผู้ให้ปากคำชั้นพนักงานสอบสวน 4 ปาก เป็นพยานเพิ่มเติมชั้นอัยการ 16 ปาก และช่วงที่สาม การทำความเห็นแย้ง

พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับผลการตรวจสอบความบกพร่องของพล.ต.ท.เพิ่มพูน ไม่พบความบกพร่อง เนื่องจากการพิจารณาคำแย้งคำสั่งพนักงานอัยการ แย้งได้เฉพาะประเด็นข้อกฎหมาย กฎระเบียบ ว่าตามที่พนักงานอัยการกล่าวอ้างมาถูกต้องหรือไม่ โดยจะนำความในคำพิพากษาศาลฎีกา หรือความเห็นทางกฎหมายจากผู้เชี่ยวชาญประกอบเหตุผลการพิจารณา และพิจารณาจากข้อเท็จจริง พยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนที่อัยการส่งมาเท่านั้น

และแย้งได้เฉพาะประเด็นที่สามารถกลับความเห็นของพนักงานอัยการได้ ไม่มีอำนาจสอบสวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม หรือหยิบยกพยานหลักฐานนอกสำนวนมาพิจารณาได้ เนื่องจากอำนาจการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ ในประเด็นข้อเท็จจริงที่นำมาพิจารณาต้องประกอบด้วยพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญอันสามารถหักล้างความเห็นไม่ฟ้องของพนักงานอัยการได้

“ผู้ตรวจสำนวนพิจารณาในกองคดีอาญาทุกระดับ มีผู้พิจารณาก่อนเสนอพล.ต.ท.เพิ่มพูน มี 4 นาย ซึ่งทุกนายมีอิสระในการเห็นแย้ง หรือไม่แย้งคำสั่งของอัยการ โดยชั้นนี้ผู้ตรวจสำนวนทุกนายมีความเห็นไม่แย้งตรงกัน ส่วนพล.ต.ท.เพิ่มพูน ผู้มีอำนาจในการพิจารณาทำความเห็นไปตามป.วิอาญามาตรา 145/1 ไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ”

พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง คณะกรรมการยังพบข้อบกพร่องหลายแห่ง จึงจะประมวลเรื่องเสนอพล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร.พิจารณาดำเนินการ ในประเด็น ดังนี้
1.นำเรียนข้อบกพร่องทั้งหมดที่พบของตำรวจ และจะตรวจสอบว่ากรณีใดบ้างที่ป.ป.ช.ได้พิจารณาชี้มูลไปแล้ว กรณีบกพร่องที่ยังไม่ได้ชี้มูลหรือลงทัณฑ์ ทางคณะกรรมการจะพิจารณามีความเห็นเสนอผบ.ตร. เพื่อพิจารณาสั่งการดำเนินการทางวินัยต่อไป หากพบความผิดทางอาญาจะเสนอให้ดำเนินคดีอาญาต่อไป

2.คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เช่น รายงานการคำนวณความเร็วจากผู้เชี่ยวชาญมายืนยันความเร็วที่ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และผู้เชี่ยวชาญอื่นก็ยืนยันที่ความเร็ว 126 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญแก่คดีที่สามารถพิสูจน์การกระทำความผิดของผู้ต้องหา เพื่อให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาตามกฎหมายได้ เห็นควรส่งพยานหลักฐานรายละเอียดข้อเท็จจริงไปยังอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาดำเนินการตาม ป.วิอาญามาตรา 147 ต่อไป

3.คณะกรรมการตรวจพบความบกพร่องในการดำเนินคดีเรื่องยาเสพติดให้โทษ ที่ยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยสอบถามเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สอบปากคำเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญ แล้วพบว่าสารแปลกปลอมทั้ง 2 ชนิดที่เกิดในร่างกาย เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับโคเคน ร่วมกับการดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น

การใช้ยาอะม็อกซิลีนไม่ทำให้เกิดสารแปลกปลอมดังกล่าวได้ ซึ่งกรณีความผิดการเสพโคเคน มีอัตราโทษจำคุก 6 เดือน ถึง 3 ปี หรือปรับ 1 หมื่น ถึง 6 หมื่นบาท และยังมีอายุความอยู่ เห็นควรให้พนักงานสอบสวน ผู้มีอำนาจสอบสวนดำเนินคดีในเรื่องนี้ต่อไป ปัจจุบันผบ.ตร.สั่งการว่าจะเข้ามาดูแลการสั่งคดีเรื่องแย้งความเห็นของพนักงานอัยการด้วยเองทุกคดี

พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวว่า พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ได้ชี้แจงกับคณะกรรมการชุดนี้แล้ว โดยคณะกรรมการพิจารณาและเชื่อคำให้การของพ.ต.อ.ธนสิทธิ์ เพราะเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานที่มีความสำคัญต่อคดี โดยผบ.ตร.จะส่งพยานหลักฐานให้อัยการไปดำเนินคดีใหม่ตาม ป.วิอาญา มาตรา 147 ทำให้มีการรื้อคดีนี้ขึ้นมาทำใหม่ 2 ข้อกล่าวหา ในส่วนของคดีขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง และข้อหาเสพยาเสพติดประเภท 2 (โคเคน) มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 3 ปี

พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการขอถอนหมายแดงของตำรวจสากลนั้น หากรื้อคดีใหม่สามารถเสนอขอหมายแดงใหม่ได้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติยืนยันว่าจะไม่ปกป้องผู้กระทำผิด ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ส่วนการกระทำความผิดของตำรวจ หากพบจะมีการลงทันฑ์อย่างเด็ดขาด โดยขณะนี้จากการตรวจสอบพบตำรวจที่มีส่วนกับการกระทำความผิดตำแหน่งสูงสุดในขณะนั้นคือระดับรองผบช. แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเป็นใคร เพราะตนไม่ใช่คณะกรรมการทางด้านวินัย แต่หนึ่งในนั้นมีชื่อของพ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ที่จะต้องถูกสอบวินัย และดำเนินคดีตามประมาลกฎหมายอาญามาตรา 157 กับตำรวจทั้ง 14 นาย เป็นพนักงานสอบสวนชุดเก่า 11 นาย และชุดใหม่ 3 นาย ที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวต่อว่า ส่วนกระแสข่าวที่พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ มีคำสั่งจากตำรวจชั้นผู้ใหญ่ให้กลับคำให้การเรื่องความเร็วรถนั้น จากการตรวจสอบพบว่าไม่มีใครกดดันพ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ให้กลับคำให้การ ก่อนหน้านี้ในการเรียกมาสอบ ตนปล่อยให้เจ้าตัวอธิบายอย่างเต็มที่ ไม่มีความกดดัน ซึ่งก่อนหน้านี้พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ เคยจะไปให้การในเรื่องวิธีคำนวนความเร็วมาแล้ว แต่พนักงานสอบสวนบอกว่าคดีหมดอายุความแล้ว วันนี้ตั้งใจมาพูดในเรื่องของข้อเท็จจริงที่จับต้องได้ จะไม่คาดเดา ซึ่งหากจะบอกว่าใครผิดหรือไม่ผิดก็จะต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป

พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวเพิ่มว่า วันนี้จะเรียกสอบผู้เชี่ยวชาญของกองพิสูจน์หลักฐานที่เป็นคนกลางในเรื่องของความเร็วรถเกี่ยวกับวิธีการคำนวน ซึ่งพบว่าพนักงานสอบสวนเชื่อว่าความเร็วที่ถูกต้องของรถคือ 177 หรือกว่า 80 ซึ่งตรงกับวิธีการตรวจสอบในครั้งแรก ยืนยันว่าไม่มีการฟอกขาวให้ใคร และจะตรวจสอบเฉพาะทางตำรวจ ไม่ขอก้าวล่วงไปถึงทางอัยการ

โดยข้อบกพร่องของผู้เกี่ยวข้องกับการสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม 1.ไม่ดำเนินการตรวจสอบปัสสาวะ เพื่อตรวจสารเสพติดเมื่อได้ตัวผู้ต้องหา 2.ไม่เก็บหลักฐานคำให้การสอบสวนพยานเพิ่มเติมไว้ตามระเบียบ 3.ผู้ออกรายงานให้การไม่ตรงกับรายงาน 4.พนักงานสอบสวนไม่ออกหมายจับตามคำสั่งพนักงานอัยการ

ส่วนข้อบกพร่องของผู้เกี่ยวข้องที่ถูกแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี วันที่ 25 เม.ย.2559 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งสำนวนการสอบสวนไปยังสำนักงานป.ป.ช.ดำเนินการตามกฎหมาย วันที่ 17 ธ.ค.2562 ป.ป.ช.มีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาโทษทางวินัย วันที่ 31 มี.ค.2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งลงโทษทางวินัย

สำหรับข้อบกพร่องของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนคดีจราจรที่ 632/2555 ของสน.ทองหล่อตามคำสั่งตร.ที่ 228/2559 ลง 22 เม.ย.2559 1.ไม่ได้ทำการสอบสวนตำรวจ ผู้ทำการตรวจค้นบ้านผู้ต้องหาในวันเกิดเหตุประกอบสำนวนการสอบสวน 2.ไม่ได้ทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์และไม่ได้รวบรวมพยานหลักฐานในทันทีเป็นเหตุให้ขาดพยานหลักฐานในการฟ้อง

3.ไม่ได้สอบสวนปากคำผู้นำตัวผู้ต้องหามามอบตัวประกอบสำนวน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงว่าผู้ต้องหาไปที่ไหนอย่างไร เพื่อสอบสวนขยายผลและอาจจะใช้เป็นพยานหลักฐานยืนยันในเรื่องความเมา และข้อเท็จแห่งคดี

4.การทำสัญญาประกันปล่อยตัวชั่วคราวบกพร่อง ผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัวเอง จึงไม่ใช่ผู้ถูกจับกุมและไม่มีหมายจับตามป.วิ.อาญา มาตรา 134 วรรคท้าย พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจให้ประกันตัว ซึ่งจะต้องส่งตัวผู้ต้องหาไปที่ศาล เพื่อขอหมายขังทันที 5.การใช้ดุลพินิจของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ที่มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

6.ผลการตรวจวิเคราะห์สารเสพติดที่เป็นสารเกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกายจากการเสพโคเคน (ยาเสพติดประเภท 2) และคำให้การของแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์ยืนยันว่าพบสารที่เกิดจากการเสพโคเคนในร่างกายผู้ต้องหาไม่นำเข้าพิจารณาในการทำความเห็นในข้อหาขับรถโดยประมาทฯ และไม่มีการพิจารณาในเรื่องข้อหาเสพยาเสพติด

7.พนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งบก.น. 5 ที่ 183/55 ลง 4 ก.ย. 55 ไม่กำกับดูแลให้มีการปล่อยตัวชั่วคราว ไม่เป็นไปตามป.วิ.อาญามาตรา 134 วรรคท้าย 8.คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง บก.น. 5 ที่ 183/55 ลง 4 ก.ย. 55 ไม่ขอขยายเวลาการสอบสวนตามคำสั่งตร. ที่ 960/37 ลง 10 ส.ค. 37 เมื่อได้ทำการสอบสวนครบกำหนดระยะเวลา

9.คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง บก.น. 5 ที่ 183/55 ลง 4 ก.ย. 55 มีหลักฐานการรับสำนวนของพนักงานอัยการ แต่ไม่รายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น และไม่ส่งตัวผู้ต้องหาไปขอให้ศาลออกหมายขังเมื่อการสอบสวนครบกำหนดเวลา 6 เดือนตามป.วิ.อาญามาตรา 113 วรรคสอง 10.ผกก.สน.ทองหล่อ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน ไม่ได้กำกับดูแลการสอบสวนโดยใกล้ชิดทั้งที่เป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน