รอง ผบช.น. เผย พนักงานสอบสวนเตรียมออกหมายจับ “จูมง” นักค้ายา เคนมผง แฉประวัติ ขับวินบังหน้า-เคยติดคุก ระบุ รอผลตรวจสารเสพติด

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

จากกรณีพบการระบาดของ ยาเค ชนิดใหม่ ที่ชื่อว่า “ยาเคนมผง” จนทำให้มีผู้เสียชีวิต ในพื้นที่ บก.น.5 เขต สน.วัดพระยาไกร, สน.ทุ่งมหาเมฆ และ สน.บางโพงพาง ตั้งแต่เมื่อช่วงบ่าย วันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วหลายราย และอยู่ระหว่างการสอบสวนพิสูจน์ความเชื่อมโยงของยาเสพติดดังกล่าว ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 10.47 น. วันที่ 20 ม.ค.2564 ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รอง ผบช.น. ดูแลงานสืบสวน เปิดเผยว่า การจับกุมกลุ่มผู้ค้าเคนมผง ในพื้นที่ สน.วัดพระยาไกร จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 ราย และต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกนับ 10 ราย ขณะนี้ตำรวจทราบชื่อและนามสกุลของผู้ค้ารายสุดท้าย ฉายาคือ “จูมง” ซึ่งเป็นผู้ค้าที่ขายยาเสพติดให้กับผู้เสียชีวิตรายที่ 7 ที่มีการเสพในบ้านพักพื้นที่ สน.บางโพงพาง แต่ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเจริญกรุง ในพื้นที่ สน.วัดพระยาไกร แล้ว

พล.ต.ต.จิรพัฒน์ กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับนายจูมง เบื้องต้นขณะนี้การข่าวของตำรวจพบว่า นายจูมงหลบหนีออกไปนอกพื้นที่ ฝ่ายสืบสวนกำลังเร่งติดตาม โดยนายจูมงมีประวัติคดีค้ายาเสพติดเคยติดคุกอยู่ในเรือนจำ ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้างบังหน้า ทั้งนี้ นายจูมง ถือเป็นผู้ค้ารายที่ 3 หลังจากที่ก่อนหน้านี้จับกุม นายอมรเทพ เฉลิมวัฒน์ หรือ “อั๋น กีวี่” และ นายคิด (นามสมมมุติ) อายุ 19 ปี ไปแล้ว

ด้าน พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. กล่าวว่า กรณีดังกล่าวต้องรอผลการตรวจพิสูจน์ทราบชนิดของสารเสพติดที่แน่ชัดโดยละเอียดอีกครั้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทราบว่ามียาเสพติดดังกล่าวมีส่วนผสมชนิดใดบ้าง หรือผู้เสียชีวิตผสมยาเสพติดดังกล่าวกันเองหรือไม่ กลุ่มผู้ค้าเคนมผงบางส่วนมีความเชื่อมโยงกัน เช่น กรณีการจับกุมผู้ค้า ในพื้นที่ สน.สายไหม, สน.จรเข้น้อย และ สน.วัดพระยาไกร

พล.ต.ท.ภัคพงศ์ กล่าวต่อว่า แต่ไม่ใช่ว่าจะมีความเชื่อมโยงกันหมดทุกกรณีที่มีผู้เสียชีวิต หรือมีสูตรยาเพียงตัวเดียว เพราะตัวอย่างยาเสพติดที่ตรวจยึดได้จากที่เกิดเหตุ มีส่วนผสมยาไม่ตรงกัน บางกรณีพบเพียงเคตามีน หรือ ไอซ์ บางกรณีพบเคตามีนผสมยานอนหลับไดอาซีแพม ขณะที่บางสถานที่พบยาเสพติดหลายชนิดปะปนกันในที่เกิดเหตุ

“จากการสอบสวนผู้รอดชีวิตหลายคน ให้การว่าต่างคนต่างนำยาเสพติดมาเอง ดังนั้นจึงตั้งข้อสังเกตว่า การเสพยาเสพติดชนิดใดเพียงอย่างเดียว หากเสพในปริมาณมาก หรือเสพหลายชนิดพร้อม ๆ กัน ก็เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตได้อยู่แล้วจากการโอเวอร์โดส โดยไม่จำเป็นต้องเป็นยาเสพติดที่ผสมขึ้นมาชนิดใหม่ ยิ่งในช่วงที่เกิดเหตุเป็นช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่อง ประกอบสถานบริการปิดให้บริการ ทำให้กลุ่มผู้เสพส่วนใหญ่ เสพยาต่อเนื่องยาวนาน 2-3 วัน อาจเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เร่งรัดการตรวจพิสูจน์ทราบกรณีดังกล่าวโดยเร็วต่อไป” ผบช.น. กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน