ศาลไม่ให้ประกัน “เพนกวิน-อานนท์-หมอลำแบงก์-สมยศ” ส่งตัวเข้าเรือนจำ ชี้กรณีมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากปล่อยชั่วคราว อาจไปก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับความผิดที่ถูกกล่าวหาอีก

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 ก.พ.64 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, นายอานนท์ นำภา, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ 4 ผู้ต้องหา แกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร เดินทางมาตามที่อัยการนัดส่งฟ้องคดีต่อศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก กรณีร่วมชุมนุมกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ – สนามหลวง เมื่อวันที่ 19 – 20 ก.ย. 2563 ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112, ยุยงปลุกปั่นฯ ม.116 และข้อหาอื่น

ขณะที่บรรยากาศฝั่งหน้าศาลอาญา มีตำรวจจากสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธินและตำรวจศาล วางกำลังโดยรอบบริเวณศาลอาญา มีการนำแผงเหล็กมาปิดกั้น และมีการเพิ่มจุดคัดกรองผู้ที่จะเข้า-ออก บริเวณศาลอย่างเคร่งครัด

ต่อมาเวลา 13.50 น. นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวชี้แจงการสั่งคดีนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, นายอานนท์ นำภา, นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องหาที่ 1-4 แกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎรว่า คดีมี 2 สำนวน เรื่องแรก (คดีชุมนุมม็อบเฟส) มีผู้ต้องหารายเดียว คือนายพริษฐ์ ในข้อหาหมิ่นตามป.อาญา ม.112, ยุยงปลุกปั่นฯ ตาม ป.อาญา ม.116 และชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 ได้มีคำสั่งฟ้องทั้ง 3 ข้อหา

นายประยุทธ กล่าวต่อว่า อีกสำนวน (คดีชุมนุม 19-20 ก.ย. 2563 ที่ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์-สนามหลวง) กล่าวหาผู้ต้องหาทั้งสี่ ในข้อหาตาม ม.112, ม.116, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ป.อาญา ม.215, ฝ่าฝืนพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, กีดขวางทางสาธารณะฯ, ร่วมกันกีดขวางการจราจรฯ, ตั้งวางวัตถุบนถนนอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายฯ, ทำลายโบราณสถานฯ, ทำให้เสียทรัพย์ฯ และร่วมกันโฆษณาเครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ รวม 11 ข้อหา พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่ทุกข้อหา

ส่วนที่ผู้ต้องหายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมนั้น นายประยุทธ กล่าวว่า พนักงานอัยการพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า พยานที่จะให้สอบเพิ่มเติมไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความเห็นและคำสั่ง เนื่องจากในสำนวนมีพยานหลักฐานทำนองเดียวกันเพียงพออยู่แล้ว ไม่ดำเนินการตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรม หลังจากนี้ทางพนักงานอัยการจะนำผู้ต้องหาทั้งสี่ไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญา

ภายหลังการให้ข่าวของนายประยุทธ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดนั้น นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ซึ่งเดินเข้ามาฟังการแถลงด้วยได้ถามกลับนายประยุทธ ย้ำถึงประเด็นตามหนังสือขอความเป็นธรรมว่าหลักสิทธิเสรีภาพได้รับการคุ้มครองตามมาตรฐานสากล นายประยุทธชี้แจงว่า ส่วนของงานโฆษกเป็นการนำผลการสั่งของพนักงานอัยการมาเรียนต่อสื่อมวลชน ส่วนในสำนวนงานโฆษกไม่สามารถอธิบายได้ เพราะไม่ได้รับผิดชอบสำนวน และไม่แน่ใจว่าเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาลหรือไม่

ขณะที่นายพริษฐ์ตอบโต้ว่า คดีนี้เป็นคดีที่ส่งผลต่อมาตรฐานสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ต้องชี้แจงบรรทัดฐานการดำเนินงานขององค์กรอัยการเป็นอย่างไร คดีนี้คือคดีการเมือง กระบวนการยุติธรรมสามารถปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้มากน้อยขนาดไหน ส่วนนายประยุทธตอบว่า ตามป.วิ.อาญา มีหลักสันนิษฐานคนที่อัยการฟ้องเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำผิด และให้อัยการพิจารณาถ้าพยานหลักฐานพอฟ้องก็ฟ้อง ประเด็นที่พูดสามารถต่อสู้ในชั้นศาลได้ ปิดท้ายนายพริษฐ์จึงกล่าวถึงพยานที่ให้สอบเพิ่มจะพูดเรื่องสิทธิเสรีภาพประชาชน พร้อมกล่าวโจมตีว่าองค์กรอัยการไม่เห็นความสำคัญของการธำรงไว้ซึ่งเสรีภาพในการแสดงออก

โดยหลังจากนั้นทางพนักงานอัยการได้นำตัวผู้ต้องหามายื่นฟ้องต่อศาลอาญาในฐานความผิดที่สั่งฟ้อง

ต่อมาในการส่งฟ้องที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก สำนวนแรกเป็นคดีหมายเลขดำ อ.286/2564 ยื่นฟ้องนายพริษฐ์เป็นจำเลยเพียงคนเดียว กรณีชุมนุมม็อบเฟส เมื่อวันที่ 14-15 พ.ย.2563 บริเวณแยกคอกวัว ถ.ราชดำเนิน สำนวนที่สองคดีหมายเลขดำ อ.287/2564 ยื่นฟ้องนายพริษฐ์, นายอานนท์, นายปติวัฒน์ และนายสมยศ เป็นจำเลย กรณีชุมนุม 19 กันยา ทวงอํานาจคืนราษฎร เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. 2563 ที่ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์และสนามหลวง เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออก, ขอให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบัน

ศาลสอบคำให้การพวกจำเลยแล้ว พวกจำเลยแถลงให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานคู่ความทั้ง 2 ฝ่าย โดยคดีดำ อ.286/2564 นัดวันที่ 15 มี.ค. เวลา 09.00 น. และคดีดำ อ.287/2564 นัดวันที่ 15 มี.ค. เวลา 13.30 น.

จากนั้นจำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เพื่อขอปล่อยชั่วคราวในชั้นนี้ แต่ศาลมีคำสั่งว่า พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง

อีกทั้งการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำซ้ำๆ ต่างกรรมต่างวาระ ตามข้อกล่าวหาเดิมหลายครั้งหลายครา กรณีมีเหตุอันควรเชื่อว่า หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยอาจไปก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับความผิดที่ถูกกล่าวหาอีก จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง แจ้งคำสั่งให้ทราบและคืนหลักประกันทั้งสองสำนวน ก่อนควบคุมตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างพิจารณาคดี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน