เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 22 พ.ย. ที่สน.โชคชัย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.รอง ผบช.ทท. พร้อมด้วยพล.ต.ต.ชัยวัฒน์ ฉันทวรลักษณ์ รองผบช.ภ.6 พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รอง ผบก.ทท.1 พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบก.ทท. และพ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบก.สปพ. เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว และตำรวจ 191 ตำรวจ สน.โชคชัย ร่วมกันแถลงผลจับกุมน.ส.สิริภัสสร์ มะแนะ อายุ 43 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2535/2560 ลงวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นชาวต่างชาติสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทยมาประกอบธุรกิจนำเที่ยวในลักษณะทัวร์ต่ำกว่าทุน หรือทัวร์ศูนย์เหรียญ โดยจับกุมได้ที่หมู่บ้านเดอะแพลนท์ ซ.นวมินทร์ 86 แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลให้หน่วยงานราชการร่วมบูรณาการกำลังในการปราบปรามกลุ่มบริษัทนำเที่ยวผิดกฎหมาย หรือกลุ่มบริษัทนำเที่ยวที่ประกอบการในลักษณะนอมินี รวมถึงกลุ่มบุคคลต่างด้าวสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทย มาประกอบธุรกิจนำเที่ยว ในลักษณะทัวร์ต่ำกว่าทุน หรือทัวร์ศูนย์เหรียญ ซึ่งจะทำให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยเสียหาย และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า จึงร่วมกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (มท.) ตำรวจภูธรภาค 6 และกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ เข้าสืบสวนสอบสวนกรณี น.ส.สิริภัสสร์ ซึ่งมีพฤติการณ์เป็นบุคคลต่างด้าวสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทยมาประกอบธุรกิจนำเที่ยว โดยเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยตงหม่ง อินเตอร์เนชั่นแนล ทราเวล กรุ๊ป (เออีซี) จำกัด

จากการสืบสวนสอบสวนพบข้อมูลว่า น.ส.สิริภัสสร์ได้ยื่นคำร้องขอมีบัตรประจำตัวประชาชนครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2545 ที่อ.พบพระ ในชื่อเดิม “น.ส.นาคำ มะแนะ” ซึ่งพบว่ามีการปลอมแปลงข้อมูลด้านอายุและปีเกิดของน.ส.นาคำ ในทะเบียนสำรวจบัญชีบุคคลในบ้านที่ออกโดยกรมประชาสงเคราะห์ เพื่อนำมาใช้เป็นเอกสารยื่นประกอบคำร้องขอมีบัตรครั้งแรก โดยใช้หมายเลขประจำตัวประชาชน 8-6307-84059-45-4 นอกจากนี้ ยังพบว่าในปี 2546 ได้แจ้งเปลี่ยนชื่อเป็น “สิริภัสสร์” ที่เขตบึงกุ่ม ปี 2552 ใช้ชื่อ “สิริภัสสร์ มาแนะ” แจ้งเปลี่ยนที่อยู่ที่เขตวังทองหลาง และปี 2557 ใช้ชื่อ “สิริภัสสร์ มาแนะ” แจ้งเปลี่ยนที่อยู่เขตยานนาวา

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบความเคลื่อนไหวทางทะเบียนราษฎร และรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จึงนำไปสู่การออกหมายจับน.ส.สิริภัสสร์ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2535/2560 ลงวันที่ 18 พ.ย.2560 ในความผิดฐาน “ยื่นคำขอมีบัตรโดยมิได้มีสัญชาติไทย ด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และใช้หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือกระทำการเพื่อให้ตนเองมีรายการในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรโดยมิชอบ และแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชน หรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแด่ผู้อื่นหรือประชาชน”

จากคำให้การของผู้ต้องหาในเรื่องของการประกอบกิจการทัวร์ศูนย์เหรียญนั้น ก็ทราบดีว่าผิดกฎหมาย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวได้ปราบปรามจนกระทั่งตอนนี้ไม่มีทัวร์ศูนย์เหรียญแล้ว นอกจากนั้น ยังพบว่ากระบวนการทัวร์ศูนย์เหรียญยังมีการกว้านซื้อคอนโดเพื่อใช้สำหรับเป็นที่พักของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ผ่านมา ตนได้เร่งปราบปรามในเรื่องการสวมบัตรประชาชน โดยประสานข้อมูลกับมท. ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวเนื่องกับการดำเนินธุรกิจท่องเที่ยว จนขณะนี้สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้กว่า 50 ราย

ด้าน พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวมีประชาชนร้องเรียนเข้ามาเป็นจำนวนมากในเรื่องของการสวมบัตรประชาชน สำหรับผู้ต้องหาคนดังกล่าวเป็นชาวจีน แต่สวมบัตรประชาชนของชนเผ่าล่าหู่ และได้ใช้ชื่อว่า น.ส.สิริภัสสร์ มะแนะ ซึ่งมีการปลอมเอกสารราชการ โดยผู้ต้องหาได้แจ้งเปลี่ยนปีพ.ศ.เกิดจาก พ.ศ.2507 เป็น 2517 จากนั้น ได้เปิดบริษัท ไทยตงหม่ง อินเตอร์เนชั่นแนลฯ ตั้งอยู่ย่านพระราม 9 ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำความผิด โดยหลังจากนี้จะให้ทางกรมการปกครอง มท. ถอนบัตรประชาชน และจะประสานกระทรวงพาณิชย์ ให้เพิกถอนใบประกอบการ ส่วนกรมท่องเที่ยวจะเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการทัวร์

จากการสอบสวนคดีดังกล่าว ได้ดำเนินคดีกับผู้ที่สวมบัตรประชาชนคือน.ส.สิริภัสสร์ ส่วนการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถดำเนินคดีได้ เนื่องจากคดีขาดอายุความ ประกอบกับไม่สามารถดำเนินการด้านการปกครองได้ เพราะปลัดอำเภอคนดังกล่าวได้ถูกจำคุกในคดีอื่น กรมการปกครองจึงมีคำสั่งให้ปลัดคนดังกล่าวออกจากราชการ

น.ส.สิริภัสสร์ ได้ให้การปฏิเสธเรื่องการสวมบัตรประชาชนปลอม แต่ยอมรับว่าได้ประกอบกิจการทัวร์ศูนย์เหรียญจริงโดยเป็นเครือข่ายย่อย จะทำหน้าที่หานักท่องเที่ยวมาส่งให้กับบริษัททัวร์ใหญ่ 3 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นมีบริษัทโอเอด้วย สำหรับขั้นตอนการนำทัวร์จีนเข้ามาในประเทศไทยในราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริง เมื่อลูกทัวร์เข้ามาแล้วจะนำลูกทัวร์ไปลงในจุดต่างๆ ตามที่ได้ตกลงกันไว้

หลังจากนั้นจะแบ่งค่านายหน้าและค่าน้ำตามที่กำหนด ตนได้ค่าหัวจากลูกทัวร์รายละ 300 บาทเท่านั้น ภายหลังที่มีการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญกิจการของตนก็เจ๊งลง เนื่องจากบริษัทใหญ่หลายรายถูกดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม ตนทราบดีว่าทัวร์ศูนย์เหรียญผิดกฎหมายแต่หากไม่ทำก็ไม่มีเงินใช้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.นาคำ มาแนะ หรือนางคำ โอ้แสง อายุ 51 ปี ผู้เสียหายที่ถูกสวมบัตรประชาชน ได้นำแจกันดอกไม้มาให้กับเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ต้องขอขอบคุณตำรวจทุกคนที่ช่วยดำเนินการให้ตนได้มีบัตรประชาชน ตั้งแต่ปี 2528 ที่มีการสำรวจจัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัว ตนตกการสำรวจเนื่องจากย้ายไปพักอาศัยอยู่กับแม่ ต่อมามีการสำรวจครั้งที่ 2 ตนก็ไม่สามารถทำบัตรได้เนื่องจากตอนนั้นมีสามีเป็นชาวเมรยนมา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนพยายามติดต่อขอบัตรประชาชนมาโดยตลอด ตนไม่รู้เลยว่ามีคนมาสวมชื่อตัวเอง

นอกจากนี้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ได้เปิดเผยว่าภายใน 2-3 วันนี้จะมีการแจ้งดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐอีก 2 รายในจังหวัดนครสวรรค์อีกด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน