เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 4 ธ.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.รองผบช.ทท. ร่วมกับ เจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) แถลงจับกุม นายทอมมี่ วู, นายจิรวัฒน์ กล่อมบาง และนายจิรพัฒน์ คณารุจินานนท์ เครือข่ายขบวนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หลอกลวงผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชี พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก, สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 77 บัญชี, ซิมการ์ดโทรศัพท์ และโทรศัพท์มือถือ พร้อมด้วยบัตรเครดิต รวมกว่า 100 รายการ

พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนติดตามจับกุมผู้กระทำความผิด ซึ่งก่อเหตุในพื้นที่สน.หัวหมาก ตำรวจจึงขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหา 7 ราย จับกุมได้ 3 ราย คือ นายทอมมี่ วู สัญชาติอินโดนีเซีย หัวหน้าแก๊ง ตัวการใหญ่ของเครือข่ายฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่จับกุมได้ที่บ้านพักแห่งหนึ่งย่านรามอินทรา ส่วนนายจิรวัฒน์ กล่อมบาง นายจิรพัฒน์ คณารุจินานนท์ จับกุมได้ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนอีก 4 ราย อยู่ระหว่างหลบหนี

เบื้องต้นแจ้งข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น พร้อมประสานสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือป.ป.ง. ตรวจสอบและอายัดธุรกรรมทางการเงิน นายทอมมี่ สัญชาติอินโดนีเซีย มีพฤติการณ์ชักชวนคนไทย 7-8 คน ก่อเหตุในลักษณะขบวนการคอลเซ็นเตอร์ โทรศัพท์หลอกลวงผู้เสียหาย โดยใช้ประเทศฟิลิปปินส์และประเทศใกล้เคียงเป็นฐานในการกระทำความผิด

โดยโทรศัพท์กลับมาหลอกผู้เสียหายในไทย แอบอ้างตัวเป็นพนักงานไปรษณีย์ หรือเจ้าหน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ และตำรวจ โดยออกอุบายอ้างว่าผู้เสียหายมีประวัติเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรม ต้องถูกดำเนินคดี ยึดอายัดทรัพย์สิน โดยล่อลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารที่กลุ่มนี้เปิดไว้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ โดยพบเส้นทางบัญชีธนาคารในชื่อของนายจิรวัฒน์ และนายจินพัฒน์ มีการนำเงินไปซื้อเงินสกุลดิจิตอล หรือบิทคอยน์ เพื่อโอนต่อไปให้นายทอมมี่

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การปฏิบัติการกวาดล้างครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ภายใต้การนำของผบ.ตร. และทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ทั้งกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจ 191 ฯลฯ นอกจากนี้ ยังได้ประสานป.ป.ง. ร่วมกันตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายทั้งสิ้น 10 จุด ตรวจยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดและผู้ร่วมขบวนการ เป็นบัญชีธนาคารกว่า 77 บัญชี จำนวนเงิน 77 ล้านบาท รถยนต์ 6 คัน และอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 2 แห่ง มูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้ในครั้งนี้รวม 120 ล้านบาท

โดยพฤติการณ์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนใหญ่มักแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าหน้าที่ธนาคาร โดยใช้เบอร์โทรศัพท์มือถือของหน่วยงานรัฐ โทร.เข้าไปหลอกลูกค้าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องป้องกันลำบาก เพราะแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีช่องทางในการหลอกลวง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ว่า มีขบวนการลักษณะนี้เกิดขึ้น ถ้ามีบุคคลแอบอ้างขอบัญชีธนาคารหรือให้ทำธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ อย่าหลงเชื่อ ส่วนประชาชนที่มีพฤติการณ์รับจ้างเปิดบัญชีจะทราบหรือไม่ทราบก็ตาม ขอให้หยุดการกระทำ เพราะหลังจากนี้จะให้ชุดสืบสวนสอบสวนเร่งตรวจสอบและดำเนินคดีกับทุกรายที่ตรวจสอบเจอ

นายพีระพัฒน์ อิงพงศ์พันธ์ ผู้อำนวยการกองคดี 1 ป.ป.ง. กล่าวว่า ป.ป.ง.เตรียมคืนเงินที่อายัดจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้ผู้เสียหาย 4 ราย เหตุเกิดขึ้นในพื้นที่ สภ.จอหอ สภ.เมืองสงขลา สน.ปทุมวัน และ สน. คลองตัน วงเงินประมาณ 2,000,000 กว่าบาท โดย 1 ในผู้เสียหายเป็นครูสอนภาษาชาวญี่ปุ่น

กรณีนี้ผู้เสียหายโทร.มาที่สายด่วนป.ป.ง.1710 ทำให้เจ้าหน้าที่อายัดบัญชีจากคนร้ายได้ทัน แต่ก็อายัดคืนได้ไม่หมด เนื่องจากคนร้ายถอนเงินออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้อายัดคืนได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น โดยจะคืนให้กับผู้เสียหายภายใน 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามทางป.ป.ง.กำลังจับตาบัญชีธนาคารต้องสงสัยทั่วประเทศที่อาจเข้าข่ายเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีประมาณ 400,000 บัญชีทั่วประเทศ เนื่องจากพบพฤติการณ์การถอน การโอน การเปิดบัญชีอย่างน่าสงสัย ซึ่งจะต้องตรวจสอบเพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพใช้เป็นช่องทางหลอกลวงประชาชนได้

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน