เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 7 ธ.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ รรท.ที่ปรึกษาพิเศษตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี รรท.ผบช.ทท. พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภ.5 พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.รองผบช.ทท. กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษหรือ 191 และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมกันแถลงจับกุมเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ 21 ราย ครั้งที่ 4 พร้อมของกลางมูลค่ากว่า 120 ล้านบาท

ผู้ต้องหามีชาวไทย 18 ราย และชาวต่างชาติ 3 ราย โดยมีนายอภิชาติ กัณตวิสิฐ สัญชาติไทย พร้อมพวกซึ่งเป็นคนไทย 17 ราย ในข้อหาฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น”, “ร่วมกันใช้หรือมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นฯ โดยมีนายอภิชาติ อยู่ในระดับสั่งการ และชาวต่างชาติ 3 ราย คือนายซู โป ชู, นายทัง เกียว ยู สัญชาติไต้หวัน ในข้อหามีไว้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบฯ ส่วนนายลิน จีนา เว่ย สัญชาติไต้หวัน ในข้อหาอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด หรือโอเวอร์สเตย์

พล.ต.ท.ธนิตศักดิ์ กล่าวว่า เครือข่ายและแผนประทุษกรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีพฤติการณ์โดยหัวหน้าใหญ่ได้ประสานให้หน่วยคอลเซ็นเตอร์ที่ประจำการอยู่ในประเทศต่างๆ หลอกลวงผู้เสียหายอีกประเทศหนึ่ง โดยใช้แผนประทุษกรรมอ้างตัวเป็นเจ้าพนักงานรัฐ ว่ามีข้อมูลทางการเงินพัวพันกับองค์กรอาชญากรรมจะต้องถูกดำเนินคดีอายัดทรัพย์ เมื่อเหยื่อหลงเชื่อก็จะให้โอนเงินผ่านบัญชีผู้รับจ้างเปิดบัญชี ก่อนจะมีคนทำหน้าที่กดเงินรวบรวมฟอกเงินและกระจายเงินไปผ่านระบบบิทคอยน์ (bitcoin) แล้วเงินก็จะถูกนำไปรวบรวมที่กลุ่มผู้ดำเนินการระดับบริหารทั้งไทยและจีน ก่อนเงินจะกลับไปสิ้นสุดที่หัวหน้าใหญ่ที่สั่งการ

ด้านพล.ต.ท.สาคร กล่าวว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์มีอยู่มากในไทย ซึ่งมีทั้งชาวไทยและต่างชาติ สร้างความเสียหายกับประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งยังพบว่าเคยมีการนำชื่อของตนไปแอบอ้างในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเร่งกวาดล้างแก๊งลักษณะดังกล่าวให้หมดไปโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกจนเสียทรัพย์สินจำนวนมาก

พล.ต.ท.พูลทรัพย์ กล่าวว่า ในพื้นที่ภาค 5 รับไว้จำนวน 17 คดี มูลค่าความเสียหายประมาณ 16 ล้านบาท แต่ที่จริงมีมากกว่านี้และมีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะตนเองยังเคยถูกแอบอ้างชื่อ 2 ครั้ง เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนติดตามคดีมาแล้วกว่าครึ่งปี กระทั่งสามารถออกหมายจับได้ 33 หมาย และเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตำรวจท่องเที่ยวร่วมกับตำรวจภูธรภาค 5 เข้าปิดล้อมตรวจค้นจับกุมได้ 18 คน บางรายจับได้ที่กรุงเทพฯ ยังเหลืออีก 15 หมายจับ ทราบว่าไปทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ที่ต่างประเทศ ซึ่งเราจะเร่งสืบสวนติดตามจับกุมต่อไป

ที่ผ่านม ตำรวจภาค 5 พยายามแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนผ่ายหลายช่องทาง แต่ไม่ค่อยได้รับความสนใจ แต่พอเกิดกรณีของเจ้าหน้าที่ธนาคารที่สนทนากับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ประชาชนตื่นตัวขึ้นเยอะ

ด้าน นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผู้แทนเลขาธิการปปง. กล่าวว่า ปปง. ได้ร่วมกับตร.ในการกวาดล้างจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพราะเรื่องนี้กระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและพี่น้องประชาชน ปปง.จะไม่รอรับเรื่องกับตำรวจอย่างเดียว จะดำเนินการสอดรับทำงานคู่ขนานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดี

นายพีระพัฒน์ กล่าวอีกว่า ปปง.ดำเนินการวิเคราะห์เส้นทางการเงินของผู้กระทำความผิดยึดอายัดทรัพย์ตามกฎหมายของ ปปง. ท้ายที่สุดเข้ารับการคุ้มครองสิทธิ์ที่ประชาชนได้รับความเสียหาย ต่อไปนี้จะดำเนินการอย่างเข้มงวดกับผู้รับจ้างเปิดบัญชีซึ่งเป็นต้นตอของการกระทำความผิด เดิมทีอาจมีการปล่อยปะละเลยบ้าง เพราะพี่น้องประชาชนอาจไม่ทราบว่าการรับจ้างเปิดบัญชีส่งผลเสียต่อชาติอย่างไร

โดยต่อไป ปปง.จะตรวจสอบเส้นทางการเงิน ยึดทรัพย์ รวมทั้งญาติพี่น้องที่พบเส้นทางการเงินเกี่ยวข้อง นอกจากถูกดำเนินคดีแล้ว ปปง.ยังดำเนินอายัดทรัพย์ทั้งหมด พ่อแม่พี่น้องก็จะโดนไปด้วย ไม่เหมือนที่ผ่านมาตัวติดคุกยังเหลือเงินให้กับคนในครอบครับใช้” ผู้แทนเลขา ปปง.กล่าว

สำหรับการสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มผู้ร่วมกระทำความผิดจากการปฏิบัติการทั้ง 4 ครั้ง สามารถขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการได้ 146 หมายจับ จับกุมได้ 98 หมายจับ ผู้ต้องหาอยู่ต่างประเทศ 7 หมายจับ และอยู่ระหว่างสืบสวนติดตามจับกุม 41 หมายจับ ทั้งนี้ มีผู้ต้องหาหลบหนีอยู่ในต่างประเทศอีก ซึ่งตำรวจก็กำลังเร่งติดตามให้เร็วที่สุด ส่วนข้อมูลขณะนี้เชื่อว่ายังมีกลุ่มผู้ร่วมขบวนการที่มากกว่าเดิมอีก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน